ทนายอุดมศักดิ์ ผู้เรียบเรียง
เรื่องจริงจากคดีชาวบ้าน

 

เรื่องที่ 1      อย่าปล่อยให้คนข้างบ้านปลูกหญ้าในที่ดินของตน


               

                    เรื่องมีอยู่ว่านายรวบ ได้รับการยกให้ที่ดินจากแม่ และได้ปลูกบ้านอยู่ในที่ดินของตนที่ได้มาเป็นเวลา 30 ปีแล้ว   นายรวบมีอาชีพเลี้ยงวัวนม ที่ดินของนายรวบที่ไม่ได้ทำประโยชน์อย่างอื่นจึงได้ปลูกหญ้าเนเปีย เป็นหญ้าที่ใช้เลี้ยงสัตว์เป็นอย่างดี

                    ที่ดินที่นายรวบปลูกหญ้าเนเปียบางส่วนก็ปลูกล้ำไปในที่ดินของนางบุญน้อย ที่เป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (นส.3) 

                    ต่อมานางบุญน้อยได้เสียชีวิต ลูกๆ ของนางน้อย จึงได้ชวนกันไปขอให้เจ้าพนักงานที่ดินออกเอกสารสิทธิ์เป็นโฉนดที่ดินแทน นส.3 ที่มีอยู่ เมื่อเจ้าพนักงานที่ดินได้มาทำการรังวัดที่ดินเพื่อจะออกโฉนดให้แก่ลูกๆ ก็ปรากฏว่าที่ดิน นส.3 ของนายบุญน้อยนั้น จริงๆ แล้ว มีเนื้อที่รวมถึงที่ดินที่นายรวบได้ปลูกหญ้าเนเปีย อยู่บางส่วน  นายรวบก็เลยคัดค้านว่าที่ดินส่วนนี้เป็นที่ดินของตนไม่ใช่ที่ดินของนางบุญน้อย 

                    เมื่อมีการพิพาทโต้แย้งกันระหว่างผู้ขอรังวัดกับเจ้าของที่ดินข้างเคียง เจ้าพนักงานที่ดินจึงไม่สามารถออกโฉนดให้แก่ลูกๆ ของนางบุญน้อยได้  นายรวยก็บำรุงรักษาและตัดหญ้าเนเปียทั้งในที่ของตนเอง และในที่ดินที่พิพาทกันเรื่อยมา ข้างฝ่ายนายฉุนซึ่งเป็นลูกของนายบุญน้อยคนหนึ่ง เวลาแกหงุดหงิดขึ้นมา แกก็มาทำอาการฉุนเฉียวใส่นายรวบบ้าง มายืนด่าบ้าง นายรวบก็ไม่เลิกรดน้ำใส่ปุ๋ยและตัดหญ้าในที่พิพาทกันนั้นสักที จนผ่านไปถึง 3 ปี นายฉุนเห็นว่าขืนปล่อยไว้อย่างนี้ที่ดินที่เป็นมรดกของนายบุญน้อยต้องตกเป็นของนายรวบแน่ๆ จึงได้ประกาศให้นายรวบรู้ว่า นายฉุนจะกั้นรั้วลวดหนามระหว่างที่ดินทั้งสองแปลงตามแนวที่ช่างรังวัดได้ระบุว่าเป็นเขต นส.3 ของนางบุญน้อย และห้ามไม่ให้นายรวบเข้ามาตัดหญ้าบริเวณที่ดินนี้อีกต่อไป  นายรวบเห็นท่าจะไม่ค่อยดีจึงได้ฟ้องนายฉุนในฐานะทายาทของนางบุญน้อย ว่าที่ดินส่วนที่พิพาทกันนั้นนายรวบได้ครอบครองและทำประโยชน์โดยปลูกหญ้าเนเปีย ตั้งแต่ตอนที่นางบุญน้อยยังมีชีวิตอยู่ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ที่ดินส่วนนี้จึตกเป็นสิทธิครอบครองของนายรวบ และการที่นายฉุนมาห้ามปรามการทำประโยชน์ของนายรวบในดินที่เป็นสิทธิครอบครองของนายรวบ จึงเป็นการรบกวนการครอบครองของนายรวบ

                    นอกจากนี้นายรวบยังได้ขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้นายฉุนชดใช้ค่าเสียหายจากการที่ตนไม่สามารถเข้าทำประโยชน์ในที่ดินส่วนนี้ได้อีกเดือนละ 1,000 บาท 

                    นายฉุนต่อสู้ว่าที่จริงแล้วที่ดินส่วนที่พิพาทกันนี้นายรวบได้เช่าจากนางบุญน้อยแม่ของตน แต่ด้วยความที่เป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียงกันก็เลยไม่ได้ทำสัญญาเช่าต่อกันไว้เป็นหนังสือ นายรวบจึงไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินที่พิพาทกันนี้

                    ศาลชั้นต้นได้พิจารณาแล้ว เห็นว่านายรวบได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินของนางบุญน้อยซึ่งเป็นที่ดินที่มีเพียงสิทธิครอบครอง (นส.3)  มาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว นอกจากนี้นายฉุนก็ไม่ได้ฟ้องร้องนายรวบภายใน 1 ปีเสียตั้งแต่เวลาที่ได้รู้ถึงขอบเขตที่ดินระหว่างนายรวบกับที่ดินของนางบุญน้อย  กลับปล่อยปละละเลยมาจนถึงเวลาที่นายรวบได้ฟ้องคดีนี้ก็เป็นเวลา 3 ปีแล้ว ศาลท่านจึงได้ตัดสินให้ที่ดินที่พิพาทกันนั้นเป็นสิทธิครอบครองของนายรวบ และให้นายฉุนชำระค่าเสียหายแก่นายรวบอีกเดือนละ 1,000 บาท จนกว่านายฉุนจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับที่ดินที่พิพาทกัน

                    นายฉุนไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นก็เลยยื่นอุทธรณ์คำพิพากษา  ศาลอุทธรณ์ก็พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น นายฉุนยังคาใจอยู่จึงได้ยื่นฎีกาต่อไปอีก  ศาลฎีกาก็ยังคงมีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์

                    เรื่องนี้จึงเป็นอุทธาหรณ์เตือนใจไว้ว่า เห็นคนข้างบ้านแค่เพียงปลูกหญ้า คงจะไม่เป็นไร 

แต่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1367 บัญญัติไว้ว่า “บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินโดยเจตนายึดถือเพื่อตน ท่านว่าบุคคลนั้นได้ซึ่งสิทธิครอบครอบครอง”

มาตรา 1375วรรคสอง “ การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองนั้น ท่านว่าต้องฟ้องภายในปีหนึ่งนับตั้งแต่เวลาที่ถูกแย่งการครอบครอบครอง”