ทนายอุดมศักดิ์ ผู้เรียบเรียง
เรื่องจริงจากคดีชาวบ้าน

 

เรื่องที่ 3      ถูกใส่ความทางอินเตอร์เน็ต

               


                    ในยุคของการสื่อสารทางสื่อไร้สาย อย่างไร้พรมแดน การกล่าวร้ายป้ายสีกันในปัจจุบัน จึงไม่เพียงไปเล่าเรื่องนินทาให้คนข้างบ้านฟังอย่างเช่นเมื่อก่อนแล้ว วันนี้จึงจะกล่าวถึงการใส่ความทางอินเตอร์ คำว่า “ใส่ความ” นั้นเป็นการกล่าวถึงบุคคลอื่น ในเรื่องที่ไม่เป็นความจริง ให้ได้รับความเสียหาย  ซึ่งมีความผิดต่อกฎหมายหลายกฏหมายด้วยกัน                                                                                                                                                       
                    กฎหมายแรก เป็นความผิดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 ที่ได้บัญญัติว่า

                    “ ผู้ใดกระทำผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(1) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์… ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ  โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน "

                    กฎหมายที่สอง ถ้าเป็นการใส่ความโดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ก็จะเป็นความผิด ฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท


                    กฎหมายที่สามนั้น เป็นความเสียหายทางแพ่ง อันเกิดจากการใส่ความข้างต้น ตาม ประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชน์ มาตรา 423

                    มาดูกันว่าหากเมื่อถูกใส่ความแล้วจะมีวิธีการดำเนินการอย่างไร

                    เหตุมีอยู่ว่า นายทอง แกเป็นเจ้าของกิจการเกี่ยวกับการนำเที่ยว อยู่มาวันหนึ่งแกนึกครึ้มอกครึ้มใจขึ้นมา ได้ Search ชื่อของตัวเองใน Google ปรากฏว่าชื่อของแกไปโด่งดังอยู่ในเว็บไซต์หนึ่ง ดังในทางดียังพอว่า แต่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะมีใครไม่ทราบไปตั้งกระทู้เป็นข้อความกล่าวหา ใส่ความแกไว้ในเว็บบอร์ดของเว็บไซต์นี้ จึงมีผู้คนชาวเน็ตต่างเข้ามาแสดงความเห็นกันด้วยความเมามัน นายทองเห็นว่า  ขืนปล่อยไว้อย่างนี้กิจการอาจถึงกับเจ๊งได้ จึงได้ไปปรึกษากับทนายความเพื่อหาวิธีแก้ไขเรื่องที่ถูกใส่ความนี้  ทนายความของนายทอง จึงได้มี e-mail ไปถึง Webmaster แจ้งขอให้ลบบอร์ดเฉพาะกระทู้นี้เสีย  ข้างฝ่าย Webmaster เห็นว่ากระทู้นี้ได้สร้างความคึกคักให้แก่เว็บไซต์นี้เป็นอันมาก จึงไม่ยอมลบให้ เมื่อสื่อสารกันไม่รู้ภาษาอินเตอร์เน็ต จึงต้องขอศาลเป็นที่พึ่งสุดท้าย


                    นายทองจึงนำคดีไปฟ้องต่อศาล โดยฟ้อง Webmaster ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฯ มาตรา 14 (5) ฐานเป็นผู้เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตร์ตาม (1)   และเรียกค่าเสียหายอีกหนึ่งล้านบาทเป็นการติดปลายนวม แต่หัวใจของเรื่องนี้อยู่ตรงนี้ครับ หากรอจนศาลมีคำพิพากษาข้อความในเว็บบอร์ดต้องมีไปอย่างต่อเนื่อง และความเสียหายของนายทองต้องมีมากจนเกินกว่าจะเยียวยา นายทอง จึงได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลคุ้มครองชั่วคราว เป็นกรณีฉุกเฉินก่อนมีคำพิพากษา    โดยขอให้ศาลมีคำสั่งให้ ลบเว็บบอร์ดเฉพาะกระทู้ที่มีข้อความใส่ความนายทอง ก่อนมีคำพิพากษา ศาลได้ไต่สวนแล้วเห็นด้วยกับนายทอง จึงได้มีคำสั่งให้ลบกระทู้นี้ออกในทันที   แต่เผอิญว่าเมื่อศาลได้มีคำสั่งให้ลบแล้วคู่ความได้มีการตกลงกันได้ นายทองจึงได้ถอนฟ้องคดี จึงไม่ทราบว่าที่นายทองแกฟ้องเรียกค่าเสียหายไปหนึ่งล้านบาทนั้น ศาลท่านจะพิพากษาให้ชดใช้กันเป็นจำนวนเท่าใด 

                    ก็เป็นแนวทางให้แก่ผู้ที่ถูกใส่ความ และเป็นอุทธาหรณ์   แก่ Webmaster  ให้ระมัดระวัง ตรวจสอบข้อความที่มีผู้โพสต์เข้ามาในเว็บไซต์ที่ตัวเองดูแลด้วย