ทนายอุดมศักดิ์ผู้เรียบเรียง
เรื่องจริงจากคดีชาวบ้าน
เรื่องที่ 5 ประเด็นแห่งคดี ( แบ่งทรัพย์สิน ภาคต่อ )
คราวนี้มากล่าวถึงหลักวิชาการ เกี่ยวกับการเริ่มคดี และหลักการมีคำพิพากษาของศาล ตามวิธีพิจารณาความแพ่งบ้าง
การเริ่มคดีในที่นี้จะกล่าวถึง การทำคำให้การ การทำคำให้การนั้น มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะ ตามมาตรา 142 วรรคหนึ่ง ได้กำหนดให้ศาลต้องตัดสินตามข้อหาในคำฟ้อง แต่ห้ามมิให้พิพากษาเกินไปกว่าหรือที่ปรากฏในคำฟ้อง
คำว่า "ข้อหาในฟ้อง" นั้น ไม่ได้หมายความถึงคำฟ้องของโจทก์เพียงอย่างเดียว แต่หมายความรวมถึง คำให้การของจำเลย ที่ได้ให้การต่อสู้คดี แล้วคำให้การนั้น ได้ก่อให้เกิดประเด็นพิพาทในคดีขึ้นมา ดังนั้น คำให้การที่จะทำให้เกิดประเด็นพิพาทขึ้นได้ จึงต้องเป็นคำให้การ ที่ต้องแสดงโดยชัดแจ้งว่า จำเลยได้ยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือบางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการปฏิเสธนั้น กล่าวคือ แม้จำเลยจะได้ให้การปฏิเสธไว้ แต่หากว่าไม่ได้อ้างเหตุผลไว้ ย่อมไม่เกิดประเด็นพิพาท
ซึ่งคำว่า "ข้อหา" ตามมาตรา 142 ที่ศาลต้องตัดสินคือ "ข้อหาที่เป็นประเด็นพิพาท" นั้นเอง
เราจะมาวิเคราะห์เรื่องประเด็นแห่งคดีตามคำพิพากษาของศาลฎีกา ในคดีแบ่งทรัพย์สินระหว่างนางมาก นายมี และนางน้อย กันต่อ ว่าเหตุใดศาลฎีกาจึงได้มีคำพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
คดีนี้ นางมาก บรรยายฟ้องว่า ตนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับ นายมี และนางน้อย โดยส่วนของตนมีเนื้อที่ 8 ไร่ ตามโฉนดที่ดิน และตนได้ครอบครองทำประโยชน์อยู่เต็มพื้นที่ 8 ไร่ ฝ่ายนายมีและนางน้อยได้ให้การว่า นางมากไม่มีสิทธิฟ้องเพราะไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิ และที่ดินมีเนื้อที่เกินกว่าที่ได้ระบุไว้ในโฉนด ถึง 8 ไร่ แต่นางมากไม่ยอมแบ่งส่วนที่เกินไปนี้ให้แก่เจ้าของรวมคนอื่น
เมื่อพิจารณาตามคำฟ้องและคำให้การของโจทก์และจำเลยทั้งสองแล้ว คดีจึงมีประเด็นพิพาทเพียงว่า นางมากมีสิทธิฟ้องเป็นคดีนี้หรือไม่ เท่านั้น ส่วนคำให้การของฝ่ายจำเลย แม้จะยกเอาเรื่องจำนวนเนื้อที่ขึ้นมาอ้างไว้ในคำให้การ แต่ก็ไม่ได้ กล่าวแก้ว่า ที่นางมากอ้างว่าตนได้ครอบครองทำประโยชน์อยู่ 8 ไร่ตามที่ระบุในโฉนดนั้น แท้จริงแล้วต่างได้มีการยึดถือครอบครอง ผิดไปจากที่ได้ระบุไว้ในสารบัญการจดทะเบียน โดยต่างครอบครองเป็นสัดส่วนระหว่างเจ้าของรวมโดยถือว่าได้แบ่งทรัพย์กันระหว่างเจ้าของแล้ว ข้อต่อสู้ของนายมีและนางน้อยจึงไม่ก่อให้เกิดประเด็นพิพาทขึ้น
เมื่อศาลชั้นต้นได้ทำการสืบพยานและให้ช่างรังวัดไปรังวัดเพื่อจัดทำแผนที่ว่าจำนวนเนื้อที่ดินที่แท้จริงมีเท่าใด และเจ้าของรวมแต่ละฝ่ายได้ครอบอย่างใด พอไปทำการรังวัดแล้วทำแผนที่พิพาทส่งศาล ทั้งสองฝ่ายต่างก็นำชี้ให้ช่างรังวัดทำแผนที่ดินส่วนที่ตนครอบครอง โดยส่วนของนายมีและนางน้อยรวมกันได้ 12 ไร่ ส่วนของนางมากได้ 12 ไร่ ซึ่งมีจำนวนเนื้อที่ส่วนที่อยู่ในโฉนด ประมาณ 2 ไร่ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จึงได้มีคำพิพากษาตามที่ได้นำรังวัดกันนี้
คราวนี้มาดูกันถึงเหตุผลกันว่าเหตุใดศาลฎีกาจึงได้ตัดสินเป็นอย่างอื่นไปได้ ทั้งไม่ได้เอาพยานหลักฐานที่คู่ความได้สืบรับกันแล้ว เรื่องการนำชี้การครอบครอง ซึ่งถือว่าคู่ความได้รับข้อเท็จจริงกันแล้วตาม มาตรา 84(3) จึงต้องมาดูกันว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบนั้นเป็นพยานหลักฐานที่มีสิทธินำสืบตามมาตรา 85 หรือไม่
เห็นได้ว่าคดีนี้ ประเด็นพิพาทมีเพียงเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ ไม่มีประเด็นเรื่อง การแบ่งโดยการครอบครอง แม้คู่ความจะนำสืบพยานหลักฐานไป เมื่อไม่เกี่ยวกับประเด็นที่คู่ความฝ่ายนั้นจะต้องนำสืบตามภาระการพิสูจน์ จึงต้องห้ามไม่ให้ศาลรับฟัง ตาม มาตรา 87(1) ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาไปนั้น จึงเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในฟ้อง ไม่ชอบด้วยมาตรา 142 วรรคหนึ่ง
อ้าวแล้วก็ในเมื่อนางมากไม่ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินส่วนที่เป็นโฉนดจริง 8 ไร่ ตามฟ้อง แล้วเหตุไฉนศาลฎีกาจึงได้พิพากษาให้แบ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้แก่นางมาก จำนวน 3,000 ส่วน (ครึ่งหนึ่งของที่ดินในโฉนด) เหตุเพราะว่า นางมากได้ฟ้องขอให้แบ่งกรรมสิทธิ์รวมแก่ตนและอ้างว่าได้ครอบครอบทำประโยชน์อยู่ 8 ไร่ สอดคล้องกับทางนำสืบของนางมากที่ได้อ้างโฉนดที่ดินอันเป็นเอกสารมหาชนเป็นพยานหลักฐาน เมื่อฝ่ายจำเลยไม่ได้ต่อสู้ (เป็นคำให้การ) ว่านางมากไม่ได้ครอบครองตามที่กล่าวอ้างและที่ได้ระบุไว้ตามสารบัญโฉนดที่ดินอย่างไร จึงต้องรับฟังเป็นยุติตามพยานหลักฐานของฝ่ายนางมาก และมีคำพิพากษาตัดสินไปตามคำฟ้องและคำขอของนางมาก ก็เป็นประการเช่นนี้แล
ดังนั้น การจะทำคำฟ้องก็ดี คำให้การก็ดี จึงต้องศึกษาข้อกฎหมายและคำพิพากษาฎีกาก่อนให้ดีว่า เมื่อยื่นแล้วจะเกิดประเด็นพิพาทไปในทิศทางใด ฝ่ายใดมีภาระการพิสูจน์ และจะสามารถนำพยานหลักฐานเข้าสืบตามข้อที่อ้างนั้นได้เพียงใด รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง (แต่ก็เผื่อใจไว้บ้างเพราะสรรพสิ่งใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง !!!)