ถูกเรื่องคดีอาญา ปรึกษา 7 ทนาย

 

เรื่องที่ 3      ดุลพินิจของศาลในการกำหนดโทษ คดียาเสพติด และมาตรา 100/2

               

                    วันที่ 28 เมษายน 2556 Thai Law Consult (โทร. 098-915-0963) ได้รับ e-mail สอบถามคดีอาญาเกี่ยวกับยาเสพติด จากทนายเจี๊ยบ สาวิตรี จิตซื่อ หาดใหญ่ สงขลา และ ได้รับคำแนะนำจากพี่ทนายโกมล มากจันทร์ จังหวัดยะลา

                    พี่ตุ๊กตา ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร เห็นว่าคำถามและคำแนะนำมีประโยชน์ต่อประชาชน จึงช่วยกันเรียบเรียงบทความนี้ครับ

 

อาจารย์สุชาติ รุ่งทรัพย์ธรรม กล่าวว่า การที่ศาลจะใช้ดุลพินิจในการกำหนดโทษ นอกจากพิจารณาถึงผลร้ายแรงของการกระทำความผิด ในเรื่องปริมาณมากน้อยของยาเสพติดให้โทษของกลางในแต่ละคดีดังกล่าว ยังต้องคำนึงถึงผลเสียหายที่เกิดจากการกระทำของจำเลยและพฤติการณ์แห่งคดีในเรื่องอื่น ๆ ประกอบด้วย โดยพิจารณาถึงปัญหาเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของยาเสพติดให้โทษในสังคมและสภาพของบ้านเมืองในปัจจุบัน ยาเสพติดให้โทษประเภทนั้น ๆ ก่อให้เกิดผลเสียหายอย่างร้ายแรงแก่สังคมทั่วไปเพียงใด ถ้าหากจำหน่ายไปถึงผู้เสพหรือถึงมือประชาชนทั่วไปแล้ว จะเป็นภัยร้ายแรงต่อสังคมและประเทศชาติเป็นอย่างยิ่ง จำเลยก็ควรได้รับโทษสถานหนัก นอกจากนี้ ศาลยังนำปัญหาทางอาชญวิทยา รวมทั้งผลกระทบถึงครอบครัวจำเลยมาพิเคราะห์ในการใช้ดุลพินิจกำหนดโทษอีกด้วย เช่น เพศ อายุ การศึกษา ประวัติความประพฤติ อาชีพและสิ่งแวดล้อมของจำเลย เป็นต้น ดังนั้น จำเลยจะได้รับโทษหนักเบาสถานใด จึงขึ้นอยู่กับสภาพความผิดและข้อมูลส่วนบุคคล ประกอบกับนโยบายของรัฐในการปราบปรามยาเสพติดให้โทษ

 

คำถาม

1.     ความผิดในคดียาเสพติดที่กฎหมายกำหนดให้มีโทษจำคุกและปรับ ศาลต้องลงโทษปรับเสมอไปหรือไม่

2.     ถ้าผู้กระทำผิดหรือจำเลย ได้ให้ข้อมูลสำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง จะลดโทษได้อย่างไร

3.     คำว่า "ให้ข้อมูลสำคัญ และมีประโยชน์อย่างยิ่ง" ต้องเพียงใด

4.     ถ้าจำเลยรับสารภาพในศาล ทนายจำเลย จะช่วยจำเลยให้ได้รับผลดีอย่างไร  

 

ตอบคำถามที่ 1

ศาลต้องลงโทษปรับเสมอ ตามมาตรา 100/1

หลักกฎหมาย พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522

                    มาตรา 100/1  ความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ที่มีโทษจำคุกและปรับ ให้ศาลลงโทษจำคุกและปรับด้วยเสมอ โดยคำนึงถึงการลงโทษในทางทรัพย์สินเพื่อป้องปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ

                    ถ้าศาลเห็นว่าการกระทำความผิดของผู้ใดเมื่อได้พิเคราะห์ถึงความร้ายแรงของการกระทำความผิด ฐานะของผู้กระทำความผิดและพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องประกอบแล้ว กรณีมีเหตุอันสมควรเป็นการเฉพาะราย ศาลจะลงโทษปรับน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นก็ได้

 

กรณีศาลจะลงโทษปรับน้อยกว่าอัตราขั้นต่ำที่กำหนด เฉพาะราย มาตรา 100/1

  • โดยหลักศาลจะพิเคราะห์ถึงความร้ายแรงของการกระทำความผิด ฐานะของผู้กระทำความผิดและพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องประกอบ ซึ่งมีแนววินิจฉัยทำนองเดียวกันกับการให้ข้อมูลสำคัญมาตรา 100/2 อันเป็นเหตุให้ลงโทษน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนด ที่น่าสังเกตคือ มาตรา 100/1 ใช้กรณีเฉพาะการลงโทษปรับ ส่วนมาตรา 100/2 ใช้กับโทษทางอาญาทุกประเภท ถือว่า มาตรา 100/2 นี้ครอบคลุม กรณีลงโทษปรับน้อยกว่าอัตราขั้นต่ำที่กำหนด มาตรา 100/1 หลักวินิจฉัยจึงเป็นอย่างเดียวกัน ฎีกาที่ 3980/2547

 

ตอบคำถามที่ 2

จะลดโทษได้อย่างไร เป็นไปตามมาตรา 100/2

หลักกฎหมาย พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522

                    มาตรา 100/2  ถ้าศาลเห็นว่าผู้กระทำความผิดผู้ใดได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวน หรือพนักงานสอบสวน ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นก็ได้

 

ตอบคำถามที่ 3

(โปรดดูใน เรื่องที่ 7 "ลดโทษ ลงโทษสถานเบา ในคดียาเสพติด ตาม มาตรา 100/2 ต้องทำอย่างไร")

 

ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ที่ได้จากคดีนั้น เป็นดังนี้ครับ

 

  • หมายถึง ข้อเท็จจริงนั้นทำให้มีการจับผู้กระทำผิดที่แท้จริงหรือรายใหญ่ และต้องมิใช่ข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่ทั่วไป โดยอาจได้จากบันทึกการจับกุม , คำให้การชั้นสอบสวน หรือ จากคำเบิกความ (ฎีกาที่ 5009/2550, 4597/2550)

ต้องเป็นผลโดยตรง

  • ต้องเป็นเหตุให้จับกุมผู้กระทำผิดรายอื่น หรือ เป็นเหตุให้ได้ของกลางเพิ่มขึ้น เช่น การให้ข้อมูลและนำเจ้าพนักงานตำรวจไปตรวจยึดเมทแอมเฟตามีนของกลางที่ซุกซ่อนไว้ (ฎีกาที่ 2495/2550)

กรณีข้อมูลเบาะแสที่ทำให้ได้ของกลางเพิ่มขึ้น

  • ต้องเป็นกรณีที่เจ้าพนักงานไม่อยู่ในวิสัยที่จะตรวจค้นเองได้ และหากไม่มีข้อมูลนั้น ย่อมไม่อาจได้ของกลางที่ซุกซ่อนไว้ได้ (ฎีกาที่ 5856/2549)

กรณีข้อมูลเบาะแสนั้น เป็นเหตุให้จับกุมผู้กระทำผิดรายอื่น

  • เจ้าพนักงานต้องได้ใช้ข้อมูลดังกล่าวขยายผลจับกุมบุคคลตามที่ผู้ถูกจับกล่าวอ้าง หากเจ้าพนักงานไม่มีการนำไปใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ หรือเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถขยายผลทางคดีได้ ย่อมไม่เข้าเงื่อนไขมาตรานี้ (ฎีกาที่ 3516/2549, 357/2551)

ผล : ศาลลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น (ฎีกาที่ 1487/2550) ศาลยกขึ้นกล่าวเองได้แม้ไม่มีคู่ความยกขึ้นอ้าง ใช้ได้ทั้งคดีที่จำเลยปฏิเสธหรือรับสารภาพ

ข้อสังเกต : มาตรา 100/2 ใช้กับโทษทางอาญาทุกประเภท โดย 100/2 นี้ครอบคลุม 100/1

ปัญหา เกี่ยวกับการขอลงโทษน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำ ตามมาตรา 100/1, 100/2 เป็นปัญหาข้อเท็จจริง (มิใช่ปัญหาข้อกฎหมาย) ทำนองเดียวกันกับปัญหาขอให้รอการลงโทษ (ฎีกาที่ 5047/2550)

 

ตอบคำถามที่ 4

ถ้าจำเลยรับสารภาพ และจำเลยได้ให้ข้อมูลสำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจหรือพนักงานสอบสวน ศาลมีอำนาจลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้ตามมาตรา 100/2 ในกรณีนี้ ทนายจำเลยควรยกขึ้นเป็นประเด็นเพื่อให้ศาลลงโทษสถานเบาในการอุทธรณ์ฎีกา หรือนำสืบถึงเหตุลดอัตราโทษ หรือลดระวางโทษ เพื่อให้จำเลยได้รับโทษน้อยลงในคดีที่จำเลยให้การรับสารภาพ เนื่องจากผู้ได้รับประโยชน์ตาม 100/2 จะต้องเป็นผู้กระทำความผิดเท่านั้น ดังนั้น ในศาล ทนายจำเลยต้องขออนุญาตศาลนำสืบถึงข้อเท็จจริงเพื่อเป็นประโยชน์แก่รูปคดีของตน

 

บทความนี้ 7 ทนาย Thai Law Consult (โทร. 098-915-0963) นำเนื้อหามาจากหนังสือ "คดียาเสพติด" ของอาจารย์สุจิต ปัญญาพฤกษ์ พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ต้นไผ่ และได้นำฎีกา 6047/2550 , 6408/2549 , 5009/2550 , 2613/2549 ซึ่งศาลวินิจฉัยว่าเป็นข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ขณะที่ฎีกา 1487/2550 และ 6550/2549 วินิจฉัยว่าไม่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง มาลงไว้แล้วครับ

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6047/2550

พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2

          การที่จำเลยที่ 1 ยอมรับว่าได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 ไปรับเมทแอมเฟตามีน 4,000 เม็ด จาก ส. ที่ห้างสรรพสินค้า โดยจำเลยที่ 2 ได้แบ่งเมทแอมเฟตามีนมาให้จำเลยที่ 1 จำนวน 400 เม็ด เพื่อส่งมอบให้แก่ พ. และพาเจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุมจำเลยที่ 2 ได้พร้อมเมทแอมเฟตามีนของกลางอีก 3,600 เม็ด นับเป็นการให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อเจ้าพนักงานตำรวจตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 100/2 สมควรกำหนดโทษจำเลยที่ 1 ให้น้อยลง

________________________________ 

          โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางที่เหลือจากการตรวจวิเคราะห์และโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง

          จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ

          จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ

          ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุกคนละตลอดชีวิต และปรับคนละ 1,200,000 บาท จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คงลงโทษจำเลยที่ 1 จำคุก 33 ปี 4 เดือน และปรับ 800,000 บาท จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คงลงโทษจำเลยที่ 2 จำคุก 25 ปี และปรับ 600,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบเมทแอมเฟตามีนที่เหลือจากการตรวจวิเคราะห์และโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก

          จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

          จำเลยที่ 1 ฎีกา

          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ...พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง พันตำรวจตรีสมศักดิ์ ศรีรุ่งนภาพร กับพวกจับกุมจำเลยที่ 1 ได้พร้อมเมทแอมเฟตามีน 400 เม็ด จำเลยที่ 1 ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 และพาพันตำรวจตรีสมศักดิ์กับพวกไปจับกุมจำเลยที่ 2 ได้พร้อมเมทแอมเฟตามีนอีก 3,600 เม็ด ภายในบ้านจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพว่ามีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คดีสำหรับจำเลยที่ 2 เป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 2 หรือไม่ โจทก์มีพันตำรวจตรีสมศักดิ์และจ่าสิบตำรวจสุจิน กระเช้าเพ็ชร ผู้ร่วมจับกุมจำเลยทั้งสองเบิกความเป็นพยานทำนองเดียวกันว่า เช้ามืดของวันเกิดเหตุ จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ไปรับเมทแอมเฟตามีน 4,000 เม็ด จากนายสมบัติหรือบัติที่ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาบางใหญ่ โดยจำเลยที่ 2 ได้แบ่งเมทแอมเฟตามีนให้จำเลยที่ 1 จำนวน 400 เม็ด เพื่อส่งมอบให้แก่นายสัมพันธ์ ส่วนเมทแอมเฟตามีนที่เหลือจำเลยที่ 2 นำไปเก็บไว้ที่หมู่บ้านพรพิมาย จังหวัดปทุมธานี พันตำรวจตรีสมศักดิ์สอบถามที่อยู่จากจำเลยที่ 1 แล้วแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอธัญบุรีเพื่อให้ขอหมายค้นเพื่อทำการตรวจค้นบ้านดังกล่าว และให้จำเลยที่ 1 พาไป พบจำเลยที่ 2 อยู่ในบ้านดังกล่าว ชั้นจับกุมพันตำรวจตรีสมศักดิ์แจ้งข้อหาแก่จำเลยทั้งสองว่าร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ตามบันทึกการตรวจค้นจับกุมและโจทก์มีพันตำรวจโทสุรสิทธิ์ โสตะวงศ์ พนักงานสอบสวนเบิกความสนับสนุนว่า ชั้นสอบสวนพยานได้แจ้งข้อหาเช่นเดียวกับชั้นจับกุม จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหา เห็นว่า พยานโจทก์จับกุมจำเลยที่ 1 ได้พร้อมเมทแอมเฟตามีน 400 เม็ด และจำเลยที่ 1 พาไปจับกุมจำเลยที่ 2 ได้พร้อมเมทแอมเฟตามีนอีก 3,600 เม็ด ทั้งชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน จำเลยที่ 1 ได้ให้การรับสารภาพ ซึ่งคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหามีรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำความผิดเป็นขั้นเป็นตอน หากมิใช่เรื่องจริงก็ยากที่พนักงานสอบสวนจะปั้นแต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อปรักปรำจำเลยที่ 1 ได้ เชื่อว่าจำเลยที่ 1 ให้การด้วยความสมัครใจโดยมิได้มีผู้ใดบังคับขู่เข็ญ ทั้งไม่ปรากฏว่าพยานโจทก์เคยรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1 มาก่อน จึงไม่มีเหตุที่จะทำให้ระแวงสงสัยว่าจะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาจึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 2 ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า รายงานการตรวจวิเคราะห์เอกสารทั้ง 2 ฉบับ ซึ่งจัดทำโดยผู้ทำการตรวจวิเคราะห์คนเดียวกัน มีความแตกต่างกันเกี่ยวกับเรื่องสีของเมทแอมเฟตามีนของกลางในรายการที่ 2 จึงมีความสงสัยว่าของกลางที่พนักงานสอบสวนส่งไปตรวจวิเคราะห์เพื่อทราบว่าเป็นเมทแอมเฟตามีนหรือไม่นั้นเป็นจำนวนเดียวกันกับวัตถุของกลางที่เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมยึดมาได้จากจำเลยที่ 1 หรือไม่ หากเป็นคนละจำนวนก็ไม่อาจนำผลการวิเคราะห์มาใช้ยันจำเลยที่ 1 ว่า วัตถุที่เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมยึดมาได้จากจำเลยที่ 1 เป็นเมทแอมเฟตามีนนั้น เห็นว่า ในขณะที่โจทก์นำนายอดิศักดิ์ หมันหลิน ผู้ทำการตรวจวิเคราะห์มาเบิกความเป็นพยาน จำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้ถามค้านเกี่ยวกับเรื่องความแตกต่างของเอกสารรายงานการตรวจวิเคราะห์ดังกล่าว และจำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้นำสืบหักล้างเอกสารดังกล่าวแต่อย่างใด อีกทั้งตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 15 ธันวาคม 2546 จำเลยที่ 1 แถลงยอมรับว่านายอดิศักดิ์เป็นผู้ตรวจพิสูจน์เมทแอมเฟตามีนของกลาง และทำรายงานการตรวจวิเคราะห์จริง ข้อแตกต่างของเอกสารดังกล่าว จำเลยที่ 1 เพิ่งจะมายกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ จึงเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นอุทธรณ์ และมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายิวธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 และเมื่อจำเลยที่ 1 ยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นฎีกาด้วย จึงไม่ใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 เกิดเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2527 ในขณะถูกจับกุมจำเลยที่ 1 มีอายุเพียง 18 ปีเศษ มีเหตุสมควรที่จะได้รับการลดมาตราส่วนโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 1 อายุ 18 ปีเศษ มีความรู้สึกผิดชอบแล้ว ประกอบกับเมทแอมเฟตามีนของกลางมีมากถึง 4,000 เม็ด พฤติการณ์ในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 นับว่าเป็นภัยร้ายแรงต่อสังคมและประเทศชาติ จึงไม่สมควรลดมาตราส่วนโทษให้ ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 และพาเจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุมจำเลยที่ 2 ได้พร้อมเมทแอมเฟตามีนของกลางอีกจำนวนหนึ่ง อันเป็นการให้ข้อมูลสำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อเจ้าพนักงานตำรวจ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2 นั้น เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 ยอมรับว่าได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 ไปรับเมทแอมเฟตามีน 4,000 เม็ด จากนายสมบัติหรือบัติที่ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาบางใหญ่ โดยจำเลยที่ 2 ได้แบ่งเมทแอมเฟตามีนมาให้จำเลยที่ 1 จำนวน 400 เม็ด เพื่อส่งมอบให้แก่นายสัมพันธ์และพาเจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุมจำเลยที่ 2 ได้พร้อมเมทแอมเฟตามีนของกลางอีก 3,600 เม็ด นับเป็นการให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อเจ้าพนักงานตำรวจตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2 สมควรกำหนดโทษจำเลยที่ 1 ให้น้อยลง ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้นบางส่วน

          พิพากษาแก้เป็นว่า จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 18 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 12 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

( ศุภชัย สมเจริญ - ศิริชัย จิระบุญศรี - ณรงค์ ธนะปกรณ์ )

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6408/2549

ป.วิ.อ. มาตรา 213, 225

พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2

          ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสามได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับภูมิลำเนาที่อยู่ รูปพรรณสัณฐาน และรายละเอียดอื่น ๆ ของ ช. ผู้ที่ว่าจ้างให้จำเลยทั้งสามขนยาเสพติดให้โทษของกลางไปส่งให้แก่ลูกค้า เมื่อพนักงานสอบสวนให้ดูรูปถ่ายของ ส. จำเลยทั้งสามยืนยันว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับ ข. จริง จนเป็นเหตุให้มีการออกหมายจับ ส. จากข้อเท็จจริงดังกล่าวนับว่าจำเลยทั้งสามได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อเจ้าพนักงานตำรวจและพนักงานสอบสวน จึงเห็นสมควรวางโทษต่ำกว่าที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 100/2 เมื่อเหตุที่ศาลฎีกาลดโทษให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี แม้ศาลฎีกาอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ถอนฎีกาซึ่งมีผลเท่ากับจำเลยที่ 1 มิได้ฎีกาก็ตาม ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาไปถึงจำเลยที่ 1 ที่มิได้ฎีกาด้วยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225

________________________________

          โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 83, 91 และริบเมทแอมเฟตามีนกับเฮโรอีนของกลาง

          จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ

          ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง วรรคสาม (2) (3), 66 วรรคสาม, 102 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ลงโทษประหารชีวิต จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (2) คงจำคุกจำเลยทั้งสามตลอดชีวิต ริบเมทแอมเฟตามีนและเฮโรอีนของกลาง

          จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

          จำเลยทั้งสามฎีกา

          ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอถอนฎีกา ศาลฎีกาอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ถอนฎีกา จำหน่ายฎีกาของจำเลยที่ 1 จากสารบบความศาลฎีกา

          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ว่า สมควรลงโทษจำเลยที่ 2 และที่ 3 สถานเบาหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามคำเบิกความของสิบตำรวจโทเจษฎา แดงเสนาะ ผู้จับกุม และพันตำรวจตรีอำนวย พรประเสริฐ พนักงานสอบสวน ว่าในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสามได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับภูมิลำเนา ที่อยู่ รูปพรรณสัณฐาน และรายละเอียดอื่น ๆ ของนายโชค ผู้ที่ว่าจ้างให้จำเลยทั้งสามขนยาเสพติดให้โทษของกลางไปส่งให้แก่ลูกค้า เมื่อพนักงานสอบสวนให้ดูรูปถ่ายของนายสิทธิโชค ธาราวโรดม จำเลยทั้งสามยืนยันว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับนายโชคจริง จนเป็นเหตุให้มีการออกหมายจับนายสิทธิโชคจากข้อเท็จจริงดังกล่าวนับว่าจำเลยทั้งสามได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อเจ้าพนักงานตำรวจและพนักงานสอบสวน จึงเห็นสมควรวางโทษต่ำกว่าที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2 ฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ฟังขึ้น เมื่อเหตุที่ศาลฎีกาลดโทษให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี แม้ศาลฎีกาอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ถอนฎีกาซึ่งมีผลเท่ากับจำเลยที่ 1 มิได้ฎีกาก็ตาม ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาไปถึงจำเลยที่ 1 ที่มิได้ฎีกาด้วยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225

          พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2) (3), 66 วรรคสาม, 100/2 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสามตลอดชีวิต และปรับคนละ 1,000,000 บาท เมื่อลดโทษให้จำเลยทั้งสามกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 แล้ว คงจำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 25 ปี และปรับคนละ 500,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 โดยให้กักขังแทนค่าปรับเป็นระยะเวลาเกินกว่าหนึ่งปีแต่ไม่เกินสองปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

( เกรียงชัย จึงจตุรพิธ - ปัญญารัตน์ วิระยะวานิช - มานัส เหลืองประเสริฐ )

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5009/2550

พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2

          จำเลยที่ 1 ได้รับการว่าจ้างให้นำเมทแอมเฟตามีนของกลางไปส่งให้แก่จำเลยที่ 2 เจ้าพนักงานตำรวจจึงขยายผลโดยให้จำเลยที่ 1 โทรศัพท์ติดต่อจำเลยที่ 2 และนำเมทแอมเฟตามีนของกลางไปส่งมอบให้แก่จำเลยที่ 2 จนสามารถจับกุมจำเลยที่ 2 ได้ นับว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำความผิด ผู้ได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ

________________________________ 

          โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 65, 66, 100/1,102 และริบของกลาง

          จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับสารภาพ

          จำเลยที่ 3 ให้การปฏิเสธ

          ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสอง (3), 65 วรรคสอง, 102 (ที่ถูก จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 65 วรรคสอง, 66 วรรคสาม การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานนำเข้าซึ่งเมทแอมเฟตามีนเพื่อจำหน่ายซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90) ลงโทษประหารชีวิต จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสอง (3) (ที่ถูกมาตรา 15 วรรคสาม (2)), 66 วรรคสาม, 102 จำคุกตลอดชีวิต และปรับ 3,000,000 บาท จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 และมาตรา 53 คงลงโทษจำเลยที่ 1 จำคุก 50 ปี ลงโทษจำเลยที่ 2 จำคุก 25 ปี และปรับ 1,500,000 บาท หากจำเลยที่ 2 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 โดยให้กักขังจำเลยที่ 2 แทนค่าปรับได้เกินกว่า 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนและโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง คืนรถจักรยานยนต์ของกลางแก่เจ้าของ ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3

          จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยที่ 2 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ประกอบมาตรา 53 ลงโทษจำเลยที่ 2 จำคุก 33 ปี 4 เดือน และปรับ 2,000,000 บาท ลดโทษให้จำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงลงโทษจำเลยที่ 2 จำคุก 16 ปี 8 เดือน และปรับ 1,000,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

          จำเลยที่ 1 ฎีกา

          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาโดยลงโทษน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2 นั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามทางพิจารณารับฟังได้ว่า ในชั้นจับกุมจำเลยที่ 1 ให้การว่า นายรัตน์หรือรนว่าจ้างจำเลยที่ 1 ให้นำเมทแอมเฟตามีนของกลางไปส่งให้แก่จำเลยที่ 2 เจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมจึงขยายผลเพื่อจับกุมจำเลยที่ 2 โดยให้จำเลยที่ 1 ติดต่อทางโทรศัพท์กับจำเลยที่ 2 และนำเมทแอมเฟตามีนของกลางไปส่งมอบให้แก่จำเลยที่ 2 จนเจ้าพนักงานตำรวจสามารถจับกุมจำเลยที่ 2 ได้ จากข้อเท็จจริงดังกล่าวนับว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำความผิดผู้ได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อเจ้าพนักงานตำรวจตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2 สมควรลงโทษจำเลยที่ 1 น้อยกว่าอัตราโทษประหารชีวิตตามที่กำหนดไว้สำหรับความผิดดังกล่าว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น

          พิพากษาแก้เป็นว่า ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 65 วรรคสอง ประกอบมาตรา 100/2 จำคุกตลอดชีวิต ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 แล้ว คงลงโทษจำเลยที่ 1 จำคุก 25 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2.

( เกรียงชัย จึงจตุรพิธ - ปัญญารัตน์ วิระยะวานิช - มานัส เหลืองประเสริฐ )

ศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา - นางสาวกรองแก้ว ถนอมรอด
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 - นายพิศิฎฐ์ สุดลาภา

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6550/2549

พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 66 วรรคสาม, 100/1 วรรคหนึ่ง
ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง, 225

          บทกำหนดโทษตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคสาม มีระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งล้านบาทถึงห้าล้านบาท หรือประหารชีวิต ศาลล่างทั้งสองวางโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้ประหารชีวิต และลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตาม ป.อ. มาตรา 78 ประกอบด้วยมาตรา 52 คงลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้จำคุกตลอดชีวิต และปรับ 1,000,000 บาท ด้วยนั้น ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติของกฎหมาย ซึ่งศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่วางโทษปรับจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานนี้

________________________________      

( เกรียงชัย จึงจตุรพิธ - ปัญญารัตน์ วิระยะวานิช - มานัส เหลืองประเสริฐ )

ศาลอาญา - นายสบเกียรติ วัฒนถาวร
ศาลอุทธรณ์ - นายพินิจ สายสอาด

 

คำพิพากษาศาลฎีกาเหล่านี้ Thai Law Consult นำมาจากระบบสืบค้นคำพิพากษาฎีกา วันที่ 14-05-2556