ถูกเรื่องคดีอาญา ปรึกษา 7 ทนาย
เรื่องที่ 4 ถูกริบทรัพย์ในคดียาเสพติด จะขอคืนได้อย่างไร 5 ฎีกานี้ มีคำตอบ
วันที่ 8 - 10 พฤษภาคม 2556 ทนายน้อย ปราธูป ศรีกลับ ไปเป็นทนายขอแรงของศาลอาญาแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพฯ พี่ตุ๊กตา ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร เห็นว่าประเด็นน่าสนใจ จึงไปฟังข้อเท็จจริงในการสืบพยานโจทก์และจำเลย 3 วันที่ศาลนี้ สังเกตเห็นว่า คดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด มีมากกว่าความผิดฐานอื่น ๆ และทนายความต้องตอบคำถามประชาชนอยู่เสมอว่า การริบทรัพย์ในคดียาเสพติด เป็นอย่างไร จะขอทรัพย์สินคืนได้อย่างไร 7 ทนายจึงช่วยกันเรียบเรียงเรื่องนี้มานำเสนอครับ
หลักกฎหมาย มีดังนี้
1. ป.อาญา มาตรา 32, 33
2. พ.ร.บ. ยาเสพติดฯ มาตรา 102
3. พ.ร.บ. มาตรการฯ มาตรา 29
ป.อาญา มาตรา 32, 33 ให้ศาลริบทรัพย์ที่ทำหรือมีไว้เป็นความผิด ทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้ใช้ หรือมีไว้เพื่อใช้กระทำความผิด และทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้มาโดยกระทำความผิด ศาลจึงมีอำนาจริบทรัพย์สินในคดีได้อย่างกว้างขวาง (แม้ทรัพย์สินนั้นโจทก์จะไม่ได้ขอให้ริบ หากข้อเท็จจริงปรากฏว่าทรัพย์สินนั้น ผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิด และโจทก์ได้บรรยายหรือกล่าวมาในคำฟ้องแล้ว ศาลก็มีอำนาจสั่งให้ริบได้ และทรัพย์ที่ได้ใช้หรือได้มาโดยการกระทำความผิดนั้น ก็ต้องปรากฏว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้ หรือได้มาจากการกระทำความผิดตามข้อหาที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องโดยตรงด้วย ศาลจึงจะริบได้)
พ.ร.บ. ยาเสพติพให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 102 ให้ศาลริบบรรดายาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1, ประเภทที่ 2, ประเภทที่ 4, ประเภทที่ 5, เครื่องมือเครื่องใช้, ยานพาหนะ หรือวัตถุอื่น ซึ่งบุคคลได้ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ
พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 29 ศาลมีอำนาจสั่งริบทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษได้อีกด้วย เมื่อพนักงานอัยการร้องขอ (ตาม มาตรานี้ เป็นการริบทรัพย์ที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ ไม่ใช่ทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรง)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2160/2543 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลย "ฐานผลิต" เมทแอมเฟตามีนเพื่อจำหน่าย มิได้ขอให้ลงโทษ "ฐานจำหน่าย" เมทแอมเฟตามีน โดยฝ่าฝืนกฎหมาย เงินสดที่โจทก์อ้างว่า จำเลยได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จึงไม่ใช่เครื่องมือ เครื่องใช้ หรือวัตถุอื่น ซึ่งจำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิด ตามมาตรา 102 แห่ง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ หรือเป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้มาโดยการ กระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษ ศาลมีอำนาจริบได้ ตาม ป.อ. มาตรา 33 (2) จึงไม่อาจริบได้
7 ทนาย Thai Law Consult ขอกล่าวถึงเฉพาะมาตรา 102 แห่ง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ และการร้องขอให้ริบทรัพย์ตาม พ.ร.บ.มาตรการฯ มาตรา 29 (22, 27, 29-32 เกี่ยวเนื่องกันนะครับ)
มาตรา 102 แห่ง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ "บรรดายาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1, 2, 4 หรือ 5 เครื่องมือ เครื่องใช้ ยานพาหนะ หรือวัตถุอื่น ซึ่งบุคคลได้ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. นี้ ให้ริบเสียทั้งสิ้น" ประเด็นสำคัญ 1. สิ่งที่ต้องริบในคดี : บรรดายาเสพติด-เครื่องมือ เครื่องใช้-ยานพาหนะ-วัตถุอื่นซึ่งบุคคลได้ใช้ในการกระทำความผิด 2. เป็นบทบังคับให้ศาลต้องริบ มิใช่เป็นการใช้ดุลพินิจ (เช่นเดียวกับ ป.อ. มาตรา 32) |
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2584/2549 จำเลยทั้งสองหาได้ดัดแปลงสภาพรถยนต์ของกลางทั้งสองคัน เพื่อจะซุกซ่อนยาเสพติดให้โทษแต่อย่างใด รถยนต์ของกลางทั้งสองคัน จึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษโดยตรง อันจะพึงริบตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 102 และ ป.อ. มาตรา 33
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7834/2544 การที่จำเลยทั้ง 4 เพียงแต่ซ่อนเมทแอมเฟตามีนไว้ที่บริเวณหน้ารถด้านคนขับ รถยนต์ของกลางจึงไม่ใช่ยานพาหนะที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยตรง จึงไม่อาจริบตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 102
การริบทรัพย์ตาม พ.ร.บ.มาตรการฯ มีประเด็นสำคัญอยู่ 2 กรณี คือ 1. การริบทรัพย์สินของกลางคดียาเสพติด ตามมาตรา 30, 31 |
มาตรา 27 เมื่อพนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้อง และทรัพย์สินที่
คณะกรรมการมีคำสั่งให้ยึดหรืออายัดตามมาตรา 22 เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่อง
กับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ก็ให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องเพื่อขอให้
ศาลสั่งริบทรัพย์สินนั้น โดยจะยื่นไปพร้อมกับฟ้องหรือจะยื่นคำร้องก่อนศาลชั้นต้น
มีคำพิพากษาก็ได้
เมื่อพนักงานอัยการได้ยื่นคำร้องต่อศาลแล้ว ให้เลขาธิการประกาศ
เพื่อให้ผู้ซึ่งอาจอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินมายื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีก่อน
คดีถึงที่สุด และถ้ามีหลักฐานแสดงว่าผู้ใดอาจอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินได้
ก็ให้เลขาธิการมีหนังสือแจ้งให้ผู้นั้นทราบเพื่อใช้สิทธิดังกล่าวด้วย
ในกรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วปรากฏว่ามีทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่อง
กับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเพิ่มขึ้นอีก ก็ให้ยื่นคำร้องเพื่อขอให้
ศาลสั่งริบทรัพย์สินนั้นในเวลาใดก่อนคดีถึงที่สุดได้ และให้นำความในวรรคสอง
มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา 29 บรรดาทรัพย์สินซึ่งพนักงานอัยการได้ยื่นคำร้องต่อศาล
ตามมาตรา 27 วรรคหนึ่งนั้น ให้ศาลไต่สวน หากคดีมีมูลว่าเป็นทรัพย์สินที่
เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินนั้น
เว้นแต่บุคคลซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินได้ยื่นคำร้องขอคืนก่อนคดีถึง
ที่สุด และแสดงให้ศาลเห็นว่า
(1) ตนเป็นเจ้าของที่แท้จริง และทรัพย์สินนั้นไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับ
การกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด หรือ
(2) ตนเป็นผู้รับโอนหรือผู้รับประโยชน์ และได้ทรัพย์สินนั้นมาโดย
สุจริตและมีค่าตอบแทน หรือได้มาตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีหรือในทาง
กุศลสาธารณ
เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ ถ้าปรากฏหลักฐานว่าจำเลยหรือผู้ถูก
ตรวจสอบเป็นผู้เกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับ
ยาเสพติดมาก่อน ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบรรดาเงินหรือทรัพย์สินที่ผู้นั้นมีอยู่
หรือได้มาเกินกว่าฐานะหรือความสามารถในการประกอบอาชีพหรือกิจกรรม
อย่างอื่นโดยสุจริต เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับ
ยาเสพติด
มาตรา 30 บรรดาเครื่องมือ เครื่องใช้ ยานพาหนะ เครื่องจักรกล
หรือทรัพย์สินอื่นใดที่ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด หรือใช้เป็น
อุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิด หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด
ให้ริบเสียทั้งสิ้น ไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่
ให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลที่พิจารณาคดีนั้นเพื่อขอให้สั่งริบ
ทรัพย์สินตามวรรคหนึ่ง และเมื่อพนักงานอัยการได้ยื่นคำร้องแล้ว ให้พนักงาน
เจ้าหน้าที่ประกาศในหนังสือพิมพ์รายวันที่มีจำหน่ายแพร่หลายในท้องถิ่น
อย่างน้อยสองวันติดต่อกัน เพื่อให้บุคคลซึ่งอาจอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินมา
ยื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง ทั้งนี้
ไม่ว่าในคดีดังกล่าวจะปรากฏตัวบุคคลซึ่งอาจเชื่อได้ว่าเป็นเจ้าของหรือไม่
ก็ตาม
ในกรณีที่ไม่มีผู้ใดอ้างตัวเป็นเจ้าของก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือ
คำสั่ง หรือในกรณีที่ปรากฏเจ้าของ แต่เจ้าของไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าตนไม่มี
โอกาสทราบ หรือไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะมีการกระทำความผิด และจะมี
การนำทรัพย์สินดังกล่าวไปใช้ในการกระทำความผิด หรือได้ใช้เป็นอุปกรณ์ให้
ได้รับผลในการกระทำความผิด หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด ให้ศาล
สั่งริบทรัพย์สินดังกล่าวได้เมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันแรกของวันประกาศ
ในหนังสือพิมพ์รายวันตามวรรคสอง และในกรณีนี้มิให้นำมาตรา 36 แห่ง
ประมวลกฎหมายอาญามาใช้บังคับ
มาตรา 31 ทรัพย์สินที่ศาลมีคำสั่งในริบตามมาตรา 29 และ
มาตรา 30 ให้ตกเป็นของกองทุน
มาตรา 32 ในกรณีที่มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี หรือมีคำพิพากษา
ถึงที่สุดให้ยกฟ้องผู้ต้องหาหรือจำเลยรายใด ให้การยึดหรืออายัดทรัพย์สิน
ของผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้น รวมทั้งทรัพย์สินของผู้อื่นที่ได้ยึดหรืออายัด
ไว้เนื่องจากเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดของผู้ต้องหาหรือจำเลย
รายนั้นสิ้นสุดลง ส่วนทรัพย์สินที่ไม่ปรากฏตัวเจ้าของที่ได้ยึดหรืออายัดไว้
เนื่องจากการกระทำความผิดของผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้น ถ้าไม่มีผู้ใด
มาขอรับคืนภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี หรือมี
คำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้อง ให้ตกเป็นของกองทุน
ในกรณีที่ไม่อาจดำเนินคดีได้ภายในสองปีนับแต่วันที่การกระทำ
ความผิดเกิดและไม่อาจจับตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยได้ ให้ทรัพย์สินที่ได้ยึด
หรืออายัดไว้เนื่องจากการกระทำความผิดของผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้น
ตกเป็นของกองทุน แต่ถ้าไม่อาจดำเนินคดีต่อไปได้เพราะเหตุที่ผู้ต้องหา
หรือจำเลยรายใดถึงแก่ความตาย ให้ทรัพย์สินตกเป็นของกองทุน เว้นแต่
ภายในสองปีนับแต่วันที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้นถึงแก่ความตาย และ
ทายาทของผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้นสามารถพิสูจน์ได้ว่าทรัพย์สินนั้น
ไม่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด หรือผู้ต้องหาหรือ
จำเลยรายนั้นได้ทรัพย์สินดังกล่าวมาโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน หรือได้มา
ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีหรือในทางกุศลสาธารณ ก็ให้คืนทรัพย์สินนั้น
ให้แก่ทายาทของผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้น
---------------------------------
ต้องมีการประกาศในหนังสือพิมพ์รายวันเพื่อให้บุคคลที่อ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินดังกล่าว ซึ่งมีความประสงค์จะคัดค้านได้ยื่นคำร้องเข้ามาในคดี และเมื่อพ้นกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่เริ่มประกาศในหนังสือพิมพ์รายวัน ศาลสั่งริบทรัพย์สินได้ ผู้ร้องย่อมไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลางอีก ตามมาตรา 30 วรรค 3 ตอนท้าย ไม่ใช่ยื่นคำร้องภายใน 1 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษาถึงที่สุดตามมาตรา 36 ตาม ประมวลกฎหมายอาญา
ระยะเวลายื่น มาตรา 30, 31 ผู้ที่อ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สิน ต้องยื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง และพิสูจน์ว่า ผู้ที่ร้องเข้ามาไม่มีโอกาสทราบหรือไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าได้กระทำความผิด และจะมีการนำทรัพย์สินของผู้ร้องไปใช้ในการกระทำความผิด
กรณีที่มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี หรือมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้อง ตามมาตรา 32
: เป็นผลให้การยึดหรืออายัดทรัพย์สินสิ้นสุด เฉพาะกรณีที่เป็นการร้องขอริบตามมาตรา 27, 29 เท่านั้น ซึ่งเป็นกรณีที่อัยการร้องขอให้ริบ ตามคณะกรรมการตรวจทรัพย์สิน ตามมาตรา 22 อันเป็นคนละกรณีกับกรณีตามมาตรา 30 (ฎีกาที่ 1185/2549)
การริบทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด มาตรา 27, 29
: เป็นทรัพย์สินที่คณะกรรมการมีคำสั่งให้ยึดหรืออายัดตามมาตรา 22 เนื่องจากเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ตามมาตรา 27, 29 แล้วพนักงานอัยการร้องขอต่อศาลให้ริบ ทรัพย์สินที่จะต้องถูกริบตามมาตรา 27, 29 และ 30 เป็นทรัพย์สินคนละประเภทกัน
การดำเนินการร้องขอของพนักงานอัยการ
: จะยื่นพร้อมกับคำฟ้องหลัก หรือยื่นขอในเวลาใด ๆ ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา หรือจะยื่นร้องขอภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา เว้นแต่ มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้อง
การดำเนินการไต่สวนของศาล
: พนักงานอัยการผู้ร้อง มีภาระนำสืบให้ศาลเชื่อว่า ทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดหรือเข้าข้อสันนิษฐานว่า บรรดาเงินหรือทรัพย์สิน เกินกว่าฐานะหรือความสามารถในการประกอบอาชีพหรือกิจกรรมอย่างอื่นโดยสุจริต ตามมาตรา 29 วรรค 2 ส่วนผู้คัดค้าน คือ จำเลยหรือเจ้าของทรัพย์ต้องพิสูจน์ให้ศาลเห็นว่า ทรัพย์สินนั้นไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด หรือตนเป็นผู้รับโอน หรือได้มาโดยสุจริต และมีค่าตอบแทน หรือได้มาตามสมควร ในโอกาส ศีลธรรมอันดี หากพิสูจน์ไม่ได้ก็ต้องตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ฎีกาที่ 8593/2548)
มาตรา 32 เป็นข้อจำกัดของการขอริบทรัพย์ ตามมาตรา 27, 29
: กรณีที่มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี หรือมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้อง ตามมาตรา 32 เป็นผลให้การยึดหรืออายัดทรัพย์สิน ตามมาตรา 27, 29 สำหรับจำเลยทั้งสองรายนั้นสิ้นสุดลง (ในทางปฏิบัติ ศาลต้องรอผลคดีหลักว่าเป็นอย่างไร)
7 ทนาย Thai Law Consult ขอนำ 5 ฎีกาต่อไปนี้ มาตอบคำถามประชาชนว่า จะขอทรัพย์สินคืนได้อย่างไรครับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 645/2550
พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 29, 32
คดีอาญาที่ผู้คัดค้านถูกฟ้อง ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องในความผิดฐานร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต กรณีจึงต้องบทบัญญัติมาตรา 32 แห่ง พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 การยึดทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ผู้ร้องอ้างว่าเนื่องจากเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดของผู้คัดค้านย่อมสิ้นสุดลงศาลย่อมไม่มีอำนาจสั่งริบทรัพย์สินนั้นได้ จึงไม่จำต้องพิจารณาในประเด็นที่ว่า ทรัพย์สินนั้นเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดหรือไม่ รวมทั้งผู้คัดค้านได้ทรัพย์สินนั้นมาโดยทุจริตและมีค่าตอบแทนหรือได้มาตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีหรือในทางกุศลสาธารณะหรือไม่ ตามมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติ ดังกล่าวอีกต่อไป
________________________________
คดีสืบเนื่องมาจากพนักงานอัยการยื่นฟ้องผู้คัดค้านทั้งสองกับพวกอีก 2 คน ในความผิดฐานร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91 ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1940/2542 ของศาลชั้นต้น ระหว่างพิจารณาคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินได้ใช้อำนาจตามกฎหมายตรวจสอบทรัพย์สินของผู้คัดค้านทั้งสอง รวม 29 รายการ คือ (1) ธนบัตรไทยจำนวน 5,971,710 บาท (2) ธนบัตรประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวน 8,700 ดอลลาร์สหรัฐ (3) ธนบัตรฮ่องกง จำนวน 179,000 ดอลลาร์ฮ่องกง (4) ธนบัตรประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 4,700 หยวน (5) ธนบัตรประเทศออสเตรเลีย จำนวน 200 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (6) โทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้อโมโตโรล่า รุ่นไมโครแท็คหมายเลขเครื่อง ซีเอที 42514/38 ไม่มีแบตเตอรี่ (7) โทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้อโนเกียหมายเลขเครื่อง ปท.6409351/39 พร้อมแบตเตอรี่ จำนวน 1 ก้อน (8) โทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้อโนเกีย หมายเลขเครื่อง ปท.6406255/38 พร้อมแบตเตอรี่ จำนวน 1 ก้อน (9) โทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้อโนเกีย รุ่นจีเอสเอ็ม หมายเลขเครื่อง ปท.490520/30/2284850/0 พร้อมแบตเตอรี่จำนวน 1 ก้อน (10) สร้อยคอทอง ลายห่วงสลับปล้องฉลุลาย จำนวน 1 เส้นน้ำ หนักประมาณ 45 กรัม (11) สร้อยคอทอง ลายเกลียวบิดห้อยระย้า จำนวน 1 เส้น น้ำหนักประมาณ 30 กรัม (12) สร้อยคอทอง ลายเกลียวบิด จำนวน 1 เส้น น้ำหนักประมาณ 15 กรัม (13) สร้อยข้อมือทอง ลายห่วงสลับปล้องพร้อมลูกตุ้มหัวใจฉลุลาย จำนวน 1 เส้น น้ำหนักประมาณ 30 กรัม (14) รูปหล่อหลวงพ่อคูณล้อม พลอยขาวพร้อมกรอบทอง จำนวน 1 องค์ น้ำหนักประมาณ 12 กรัม (15) พระผงสมเด็จพุฒาจารย์โตพร้อมกรอบทอง จำนวน 1 องค์ น้ำหนักประมาณ 17 กรัม (16) พระผงเนื้อสีน้ำตาลพร้อมกรอบทองจำนวน 1 องค์ น้ำหนักประมาณ 15 กรัม (17) พระผงปางสมาธิสีน้ำตาลเข้มพร้อมกรอบทอง จำนวน 1 องค์ น้ำหนักประมาณ 5 กรัม (18) พระผงปางสมาธิเนื้อสีแดงพร้อมกรอบทอง จำนวน 1 องค์ น้ำหนักประมาณ 5 กรัม (19) จี้ทองกระบอกฉลุลาย จำนวน 1 อัน น้ำหนักประมาณ 6 กรัม (20) แหวนทองประดับเพชร 9 เม็ด จำนวน 1 วง น้ำหนักประมาณ 10 กรัม (21) แหวนทองประดับพลอยแดงล้อมพลอยขาว จำนวน 1 วง น้ำหนักประมาณ 5 กรัม (22) แหวนทองสัญลักษณ์กรมตำรวจประดับเพชร จำนวน 1 วง น้ำหนักประมาณ 17 กรัม (23) แหวนทองรูปผีเสื้อประดับเพชร จำนวน 1 วง น้ำหนักประมาณ 4 กรัม (24) แหวนทองประดับพลอยสีฟ้าประดับเพชร 2 เม็ด จำนวน 1 วง น้ำหนักประมาณ 6 กรัม (25) แหวนทองรูปหัวใจ 5 ดวง ประดับพชร 5 เม็ด จำนวน 1 วง น้ำหนักประมาณ 1 กรัม (26) แหวนทองสลับเงินประดับเพชร 1 เม็ด จำนวน 1 วง น้ำหนักประมาณ 3 กรัม (27) นาฬิกาข้อมือยี่ห้อโรเล็กซ์ เรือนสีทองสลับเงิน จำนวน 1 เรือน (28) นาฬิกาข้อมือยี่ห้อโรเล็กซ์ ตัวเรือนประดับเพชร (สายหนัง) จำนวน 1 เรือน (29) นาฬิกาข้อมือ ยี่ห้อโรเล็กซ์ เรือนสีทอง จำนวน 1 เรือน ผู้คัดค้านทั้งสองไม่สามารถแสดงหลักฐานได้ว่าทรัพย์สินที่ถูกตรวจสอบดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่ไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดหรือได้รับโอนทรัพย์สินนั้นมาโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน หรือเป็นทรัพย์สินที่ได้มาตามสมควรในทางศีลธรรมอันดี หรือในทางกุศลสาธารณะ คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินมีคำสั่งให้ยึดทรัพย์สินของผู้คัดค้านทั้งสอง จำนวน 29 รายการ ตามคำสั่งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินที่ 167/2542 ผู้รัองขอให้ริบทรัพย์สินของผู้คัดค้านทั้งสอง จำนวน 29 รายการ และให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 27, 29, 31
ศาลชั้นต้นได้ประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์ตามกฎหมายให้บุคคลซึ่งอาจอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินดังกล่าวยื่นคำร้องคัดค้านคำร้องขอให้ริบทรัพย์เข้ามาในคดี
ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำคัดค้านว่า ทรัพย์สินจำนวน 29 รายการ เป็นทรัพย์สินของผู้คัดค้านทั้งสองซึ่งได้มาโดยสุจริต ไม่ได้เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิด ไม่ได้ใช้ในการกระทำความผิดหรือไม่ได้ใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิด หรือไม่ได้มีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดในการค้ายาเสพติด
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ริบทรัพย์สินทั้ง 29 รายการ ให้ตกเป็นของกอทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตามมาตรา 29, 31 แห่งพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534
ผู้คัดค้านทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่าเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2541 เวลา 8.30 นาฬิกา เจ้าพนักงานตำรวจกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดร่วมกันจับกุมผู้คัดค้านทั้งสองกับพวกอีก 2 คน กล่าวหาว่าร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและยึดทรัพย์สินจำนวน 29 รายการ ต่อมาผู้รัองเป็นโจทก์ฟ้องผู้คัดค้านทั้งสองกับพวกเป็นจำเลยข้อหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ภายหลังจับกุมผู้คัดค้านทั้งสองกับพวก คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินมีคำสั่งให้ยึดทรัพย์สินของผู้คัดค้านทั้งสอง รวม 29 รายการ โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องคดีนี้เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งริบทรัพย์สินของผู้คัดค้านทั้งสอง รวม 29 รายการดังกล่าว ให้ตกเป็นกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 29, 31 ที่ผู้คัดค้านทั้งสองฎีกาขอให้ยกคำร้องของผู้ร้องนั้น เห็นว่า คดีอาญาที่ผู้คัดค้านทั้งสองกับพวกถูกฟ้อง ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องสำหรับผู้คัดค้านทั้งสองในความผิดฐานร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต กรณีจึงต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 ที่บัญญัติว่า “ในกรณีที่มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีหรือมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องผู้ต้องหาหรือจำเลยรายใด ให้การยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้นรวมทั้งทรัพย์สินของผู้อื่นที่ได้ยึดหรืออายัดไว้เนื่องจากเกี่ยวเนื่องดับการกระทำความผิดของผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้นสิ้นสุดลง...” เมื่อศาลฎีกาพิพากษาฟ้องสำหรับผู้คัดค้านทั้งสอง การยึดทรัพย์สินของผู้คัดค้านทั้งสองที่ผู้ร้องอ้างว่าเนื่องจากเกี่ยวกับการกระทำความผิดของผู้คัดค้านทั้งสองย่อมสิ้นสุดลง ศาลย่อมไม่มีอำนาจสั่งริบทรัพย์สินนั้นได้ จึงไม่จำต้องพิจารณาในประเด็นที่ว่า ทรัพย์สินนั้นเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดหรือไม่ รวมทั้งผู้คัดค้านทั้งสองได้ทรัพย์สินนั้นมาโดยทุจริตและมีค่าตอบแทนหรือได้มาตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีหรือในทางกุศลสาธารณะหรือไม่ ตามาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวอีกต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้ริบทรัพย์สิน รวม 29 รายการ ของผู้คัดค้านทั้งสองนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของผู้คัดค้านทั้งสองฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง และให้คืนทรัพย์สินของผู้คัดค้านทั้งสองตามคำร้องรวม 29 รายการ แก่ผู้คัดค้านทั้งสอง.
( อร่าม เสนามนตรี - เปรมใจ กิติคุณไพโรจน์ - นพวรรณ อินทรัมพรรย์ )
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12213/2547
พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 29, 30, 31
ในการดำเนินคดีตาม พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 นั้น มีอยู่ 2 กรณี คือ การร้องขอให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินตามมาตรา 29 ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามมาตรา 27 และการร้องขอให้ริบบรรดาเครื่องมือ เครื่องใช้ ยานพาหนะ เครื่องจักรกล หรือทรัพย์สินอื่นใดที่ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด หรือใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิด หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดตามมาตรา 30 ซึ่งกระบวนการการร้องขอให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินทั้งสองกรณีกฎหมายบัญญัติไว้แตกต่างกันโดยแยกต่างหากจากกัน ทั้งขั้นตอนการร้องขอให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินหรือร้องขอคืนทรัพย์สินตามมาตรา 29 และ 30 ก็มีความแตกต่างกันคือ การร้องขอให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินตามมาตรา 29 จะต้องมีการปิดประกาศไว้ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และที่สถานีตำรวจท้องที่ที่มีการยึดหรืออายัดทรัพย์สินอย่างน้อยเจ็ดวันและให้ประกาศอย่างน้อยสองวันติดต่อกันในหนังสือพิมพ์ที่มีแพร่หลายในท้องถิ่น ส่วนการร้องขอให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินตามมาตรา 30 นั้น ไม่ต้องมีการปิดประกาศในที่ใด ๆ แต่ต้องมีการประกาศในหนังสือพิมพ์รายวันที่มีจำหน่ายแพร่หลายในท้องถิ่นอย่างน้อยสองวันติดต่อกัน นอกจากนี้การขอคืนทรัพย์สินตามมาตรา 29 นั้น ผู้เป็นเจ้าของสามารถร้องขอคืนได้ก่อนคดีถึงที่สุดและแสดงให้ศาลเห็นว่า
"(1) ตนเป็นเจ้าของที่แท้จริง และทรัพย์สินนั้นไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดหรือ
(2) ตนเป็นผู้รับโอนหรือผู้รับประโยชน์ และได้ทรัพย์สินนั้นมาโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน หรือได้มาตามสมควรในทางศีลธรรมอันดี หรือในทางกุศลสาธารณ"
ส่วนการร้องขอคืนทรัพย์สินตามมาตรา 30 ผู้เป็นเจ้าของจะต้องยื่นคำร้องขอเข้ามาก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง และศาลจะสั่งริบได้เมื่อปรากฏว่าเจ้าของไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าตนไม่มีโอกาสทราบหรือไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะมีการกระทำความผิด และจะมีการนำทรัพย์สินดังกล่าวไปใช้ในการกระทำความผิด คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า จำเลยทั้งสองได้ใช้รถยนต์กระบะของกลางเป็นยานพาหนะบรรทุกขนส่งและซื้อขายยาเสพติดให้โทษจึงขอให้ริบรถยนต์กระบะพร้อมกุญแจรถยนต์ จำนวน 2 ชุด ของกลางตาม พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30, 31 การร้องขอให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินในคดีนี้จึงเป็นการร้องขอตามมาตรา 30 ดังนั้น กระบวนการที่ศาลจะต้องไต่สวนและมีคำสั่ง จึงต้องดำเนินกระบวนพิจารณาตามมาตรา 30 หาใช่มาตรา 29
พยานหลักฐานของผู้คัดค้านไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถยนต์กระบะพร้อมกุญแจรถจำนวน 2 ชุด ของกลาง ผู้คัดค้านจึงไม่มีสิทธิขอคืนของกลาง และไม่จำต้องวินิจฉัยต่อไปว่าผู้คัดค้านไม่มีโอกาสทราบหรือไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะมีการกระทำความผิด และจะมีการนำทรัพย์สินดังกล่าวไปใช้ในการกระทำความผิดอีกต่อไปหรือไม่
________________________________
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ริบรถยนต์กระบะ จำนวน 1 คัน พร้อมกุญแจรถ จำนวน 2 ชุด และโทรศัพท์เคลื่อนที่ จำนวน 1 เครื่อง ดังกล่าวให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตาม พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปราม ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30, 31
ศาลชั้นต้นได้สั่งให้ประกาศในหนังสือพิมพ์ที่มีจำหน่ายแพร่หลายในท้องถิ่นสองวันติดต่อกัน เพื่อให้บุคคลซึ่งอาจอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินมายื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีก่อน ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งแล้ว
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้มีคำสั่งคืนรถยนต์กระบะพร้อมกุญแจรถของกลางแก่ผู้คัดค้าน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้ริบรถยนต์กระบะยี่ห้อนิสสันหมายเลขทะเบียน ลย-5162 กรุงเทพมหานคร จำนวน 1 คัน พร้อมกุญแจรถ จำนวน 2 ชุด และโทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้ออีริคสัน หมายเลข 01-3808589 จำนวน 1 เครื่อง ให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตาม พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30, 31
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามคำร้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสองในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ย. 862/2545 ของศาลชั้นต้นซึ่งกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและยึดรถยนต์กระบะยี่ห้อนิสสัน หมายเลขทะเบียน ลย-5162 กรุงเทพมหานคร พร้อมกุญแจรถ จำนวน 2 ชุด และโทรศัพท์เคลื่อนที่ จำนวน 1 เครื่อง ซึ่งใช้ในการกระทำความผิดดังกล่าวเป็นของกลาง
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านเป็นประการแรกว่า ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าผู้คัดค้านไม่ได้โต้แย้งเลยว่ารถยนต์กระบะของกลางไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ดังนั้น แม้จะฟังว่าผู้คัดค้านเป็นเจ้าของรถยนต์กระบะของกลางและมิได้รู้เห็นเป็นใจให้ผู้กระทำความผิดนำรถยนต์กระบะของกลางมากระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ศาลก็ไม่อาจคืนรถยนต์กระบะของกลางให้ผู้คัดค้านได้ตามบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปราม ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 29 (1) จึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่า ผู้คัดค้านเป็นเจ้าของรถยนต์กระบะของกลางหรือไม่ นั้นมิชอบด้วยกฎหมาย เพราะกรณีนี้เป็นการริบทรัพย์และยื่นคำขอคืนทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดหรือใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดหรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30 ผู้คัดค้านจึงไม่ต้องแสดงให้ศาลเห็นว่าทรัพย์สินนั้นไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ตามมาตรา 29 (1) ดังที่ศาลอุทธรณ์กล่าวอ้างแต่อย่างใด เห็นว่า ในการดำเนินคดีตาม พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 นั้น มีอยู่ 2 กรณี คือ การร้องขอให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินตามมาตรา 29 ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามมาตรา 27 และการร้องขอให้ริบบรรดาเครื่องมือ เครื่องใช้ ยานพาหนะ เครื่องจักรกลหรือทรัพย์สินอื่นใดที่ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด หรือใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิด หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดตามมาตรา 30 จะเห็นได้ว่า กระบวนการการร้องขอให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินตามมาตรา 29 และมาตรา 30 แตกต่างกัน โดยกฎหมายแยกไว้ต่างหากจากกัน ทั้งขั้นตอนการร้องขอให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินหรือร้องขอคืนทรัพย์สินตามมาตรา 29 และ 30 ก็มีความแตกต่างกัน คือ การร้องขอให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินตามมาตรา 29 จะต้องมีการปิดประกาศไว้ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และที่สถานีตำรวจท้องที่ที่มีการยึดหรืออายัดทรัพย์สินอย่างน้อยเจ็ดวันและให้ประกาศอย่างน้อยสองวันติดต่อกันในหนังสือพิมพ์ที่มีแพร่หลายในท้องถิ่น ส่วนการร้องขอให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินตามมาตรา 30 นั้น ไม่ต้องมีการปิดประกาศในที่ใด ๆ แต่ต้องมีการประกาศในหนังสือพิมพ์รายวันที่มีจำหน่ายแพร่หลายในท้องถิ่นอย่างน้อยสองวันติดต่อกัน นอกจากนี้การขอคืนทรัพย์สินตามมาตรา 29 นั้น ผู้เป็นเจ้าของสามารถร้องขอคืนได้ก่อนคดีถึงที่สุดและแสดงให้ศาลเห็นว่า
"(1) ตนเป็นเจ้าของที่แท้จริง และทรัพย์สินนั้นไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดหรือ
(2) ตนเป็นผู้รับโอนหรือผู้รับประโยชน์ และได้ทรัพย์สินนั้นมาโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน หรือได้มาตามสมควรในทางศีลธรรมอันดี หรือในทางกุศลสาธารณ" ส่วนการร้องขอคืนทรัพย์สินตามมาตรา 30 ผู้เป็นเจ้าของจะต้องยื่นคำร้องขอเข้ามาก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสัง และศาลจะสั่งริบได้เมื่อปรากฏว่าเจ้าของไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าตนไม่มีโอกาสทราบหรือไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะมีการกระทำความผิด และจะมีการนำทรัพย์สินดังกล่าวไปใช้ในการกระทำความผิด คดีนี้ ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า จำเลยทั้งสองได้ใช้รถยนต์กระบะของกลางเป็นยานพาหนะบรรทุกขนส่งและซื้อขายยาเสพติดให้โทษจึงขอให้ริบรถยนต์กระบะพร้อมกุญแจรถยนต์ จำนวน 2 ชุดของกลาง ตาม พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30, 31 การร้องขอให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินในคดีนี้จึงเป็นการร้องขอตามมาตรา 30 ดังนั้น กระบวนการที่ศาลจะต้องไต่สวนและมีคำสั่ง จึงต้องดำเนินกระบวนพิจารณาตามมาตรา 30 หาใช่มาตรา 29
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านประการสุดท้ายว่า จะต้องคืนรถยนต์กระบะของกลางพร้อมกุญแจรถ จำนวน 2 ชุด ของกลาง ให้แก่ผู้คัดค้านหรือไม่ เห็นว่า พยานหลักฐานของผู้คัดค้านจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถยนต์กระบะพร้อมกุญแจรถ จำนวน 2 ชุด ของกลาง ผู้คัดค้านจึงไม่มีสิทธิขอคืนของกลางดังกล่าวและไม่จำต้องวินิจฉัยต่อไปว่าผู้คัดค้านไม่มีโอกาสทราบหรือไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะมีการกระทำความผิด และจะมีการนำทรัพย์สินดังกล่าวไปใช้ในการกระทำความผิดอีกต่อไปหรือไม่ ฎีกาของผู้คัดค้านข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.
( เฉลิมชัย จารุไพบูลย์ - พิชิต คำแฝง - สุรภพ ปัทมะสุคนธ์ )
ศาลอาญา - นายชูชัย วิริยะสุนทรวงศ์
ศาลอุทธรณ์ - นางคำนวน เทียมสอาด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1717/2548
พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 22, 27, 28, 29, 31, 32
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ริบทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 ผู้ถูกฟ้องว่าเป็นเจ้าพนักงานร่วมกับพวกกระทำความผิด เกี่ยวกับยาเสพติด และทรัพย์สินของผู้คัดค้านผู้เป็นภริยาของจำเลยที่ 3 รวม 7 รายการ เนื่องจากเป็นทรัพย์สิน ที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด โดยขอให้ริบตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตาม พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 3, 15, 22, 27, 29, 31 ซึ่งตาม พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 32 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ในกรณีที่มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี หรือมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องผู้ต้องหาหรือจำเลยรายใดให้การยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้น รวมทั้งทรัพย์สินของผู้อื่นที่ได้ยึดหรืออายัดไว้ เนื่องจากเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดของผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้นสิ้นสุดลง?" ดังนั้น เมื่อปรากฏหลักฐานว่า ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษา อันเป็นที่สุดให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จึงมีผลให้การยึดหรืออายัดทรัพย์สินทั้ง 7 รายการของผู้คัดค้านและจำเลยที่ 3 สิ้นสุดลงตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว แต่เมื่อศาลชั้นต้นได้ประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์ตามกฎหมายให้บุคคลซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินยื่นคำร้องคัดค้านคำร้องขอให้ริบทรัพย์สินเข้ามาในคดี คงมีแต่ผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านเพียงผู้เดียว โดยจำเลยที่ 3 มิได้ยื่นคำร้องคัดค้านเข้ามาในคดีตามกระบวนการแห่ง พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปราม ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 28, 29 แม้ผู้คัดค้านจะเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของ จำเลยที่ 3 ก็ไม่อาจขอคืนทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 แทนได้
________________________________
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2543 เวลาประมาณ 17 นาฬิกา เจ้าพนักงานจับกุมจำเลยทั้งสี่พร้อม ยึดได้เมทแอมเฟตามีน จำนวน 10,000 เม็ด น้ำหนัก 909.658 กรัม มีปริมาณคำนวณเป็นน้ำหนักสารบริสุทธิ์ได้ 239.980 กรัมเป็นของกลาง โดยกล่าวหาว่าร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ต่อมาผู้ร้องได้ฟ้องจำเลยทั้งสี่ในความผิดต่อ พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 4801/2543 หมายเลขแดงที่ 7677/2543 ของศาลชั้นต้น ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำความผิดดังกล่าวปรากฏต่อเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และกรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่าทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 กับของผู้คัดค้านผู้เป็นภริยาของจำเลยที่ 3 เป็นทรัพย์สินเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด จึงมีคำสั่งให้ตรวจสอบทรัพย์สินเป็นกรณีเร่งด่วน และคำสั่งที่ 98/2543 ลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2543 ให้อายัดทรัพย์สินของผู้คัดค้านไว้ชั่วคราว รวม 3 รายการ ต่อมามีคำสั่งที่ 141/2543 ลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2543 ให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 ไว้ชั่วคราว รวม 3 รายการ และมีคำสั่งที่ 142/2543 ลงวันวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2543 ให้ยึดทรัพย์สินของผู้คัดค้านไว้ชั่วคราวอีก 1 รายการ ต่อมาคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินวินิจฉัยว่าทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 และผู้คัดค้านทั้ง 7 รายการดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดของจำเลยที่ 3 และผู้คัดค้านไม่สามารถแสดงหลักฐานได้ว่าทรัพย์สินที่ถูกตรวจสอบไม่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและเป็นทรัพย์สินที่มีอยู่หรือได้มาเกินกว่าฐานะหรือความสามารถในการประกอบอาชีพกิจกรรมอย่างอื่นโดยสุจริต จึงมีคำสั่งที่ 162/2543 ลงวันที่ 22 กันยายน 2543 ให้ยึดทรัพย์สินทั้ง 7 รายการ ผู้ร้องเห็นด้วยกับคำวินิจฉัยดังกล่าว จึงขอให้ศาลมีคำสั่งริบทรัพย์สินทั้ง 7 รายการให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตาม พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 3, 15, 22, 27, 29, 31
ศาลชั้นต้นได้ประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์ตามกฎหมายให้บุคคลซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินดังกล่าวยื่นคำร้องคัดค้านคำร้องขอให้ริบทรัพย์สินเข้ามาในคดี
ผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านว่า ผู้คัดค้านและจำเลยที่ 3 ไม่เคยเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและเป็นเจ้าของทรัพย์สินตามคำร้องซึ่งได้มาโดยสุจริตจากการทำมาหาได้ร่วมกันพอควรแก่ฐานะหรือความสามารถในการประกอบอาชีพ ไม่เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ผู้ร้องยื่นคำร้องล่วงเลยกำหนดระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ขอให้ยกคำร้องและสั่งคืนทรัพย์สินทั้ง 7 รายการแก่ผู้คัดค้าน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า ให้ริบทรัพย์สินทั้ง 7 รายการให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติได้ว่า ผู้คัดค้านเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของ จำเลยที่ 3 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 4801/2543 หมายเลขแดงที่ 7677/2543 ของศาลชั้นต้น ซึ่งถูกดำเนินคดีในข้อหาความผิดต่อ พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ ซึ่งตาม พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 32 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ในกรณีที่มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี หรือมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้อง ผู้ต้องหาหรือจำเลยรายใดให้การยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้นรวมทั้งทรัพย์สินของผู้อื่นที่ได้ยึดหรืออายัดไว้เนื่องจากเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดของผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้นสิ้นสุดลง?" ดังนั้น เมื่อปรากฏหลักฐานว่า ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาที่ 5052/2545 อันเป็นที่สุดให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 ในความผิดฐานเป็น เจ้าพนักงานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จึงมีผลให้การยึดหรืออายัดทรัพย์สินทั้ง 7 รายการของผู้คัดค้านและจำเลยที่ 3 สิ้นสุดลงตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว แต่เมื่อศาลชั้นต้นได้ประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์ตามกฎหมายให้บุคคลซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินยื่นคำร้องคัดค้านคำร้องขอให้ริบทรัพย์สินเข้ามาในคดี คงมีแต่ผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านเพียงผู้เดียว โดยจำเลยที่ 3 มิได้ยื่นคำร้องคัดค้านเข้ามาในคดีตามกระบวนการแห่ง พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 28, 29 แม้ผู้คัดค้านจะเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 3 ก็ไม่อาจขอคืนทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 แทนได้ ฎีกาของผู้คัดค้านฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง และให้คืนทรัพย์สินของผู้คัดค้านตามคำร้องรวม 4 รายการ แก่ผู้คัดค้าน.
( วิเชียร มงคล - กุลพัชร์ อิทธิธรรมวินิจ - ประจวบ พัชนีรัตนกรณ์ )
ศาลอาญา - นายวิชิต ลีธรรมชโย
ศาลอุทธรณ์ - นายโสภณ โรจน์อนนท์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6089/2544
ป.วิ.อ. มาตรา 39
ป.วิ.พ. มาตรา 144, 148, 173
พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 29, 31
คดีก่อนพนักงานอัยการโจทก์ฟ้องผู้อื่นเป็นจำเลยและขอให้ริบธนบัตรของกลาง โดยอ้างการกระทำอันจะเป็นเหตุให้ริบธนบัตรว่าเป็นทรัพย์สินซึ่งได้ใช้ในการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 102แต่คดีนี้พนักงานอัยการผู้ร้องอ้างเหตุให้ริบธนบัตรจำนวนเดียวกันนั้นว่า เป็นทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินได้ยึดไว้แล้วตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 16(3),22,27,29 และ 31เมื่อคดีนี้กับคดีก่อนจำเลยมิใช่บุคคลคนเดียวกัน ทั้งมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตลอดจนการกระทำที่อ้างเป็นเหตุให้ศาลริบธนบัตรแตกต่างกัน การพิจารณาคดีนี้จึงไม่เป็นการร้องซ้อน หรือร้องซ้ำหรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับทำให้สิทธิของผู้ร้องระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)
________________________________
คดีสืบเนื่องมาจากผู้คัดค้านถูกฟ้องในความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเป็นคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 9871/2541 ให้ลงโทษจำคุกผู้คัดค้าน25 ปี ให้นับโทษจำคุกต่อจากโทษจำคุกของผู้คัดค้านซึ่งเป็นจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5047/2541 ของศาลจังหวัดสมุทรสาครริบเมทแอมเฟตามีนและเฮโรอีนของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2541 เจ้าพนักงานตำรวจ สถานีตำรวจนครบาลท่าข้าม ร่วมกันจับกุมผู้คัดค้านและนางสาวอาหลี แซ่ฟาง พร้อมด้วยเมทแอมเฟตามีน จำนวน 7,572 เม็ด น้ำหนักรวม 723.83 กรัม เฮโรอีน จำนวน 13 ถุง น้ำหนักรวม254.63 กรัม และยึดได้ธนบัตรจำนวน 645,120 บาท เป็นของกลางคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534ตรวจสอบทรัพย์สินของผู้คัดค้านแล้ว ปรากฏหลักฐานเป็นที่เชื่อได้ว่าทรัพย์สินของผู้คัดค้านคือธนบัตรจำนวน 645,120 บาท เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด อาศัยอำนาจตามมาตรา 16(3), 22 และมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินมีมติให้ยึดธนบัตรจำนวน 645,120บาท ขอให้ศาลมีคำสั่งริบธนบัตรจำนวน 645,120 บาท ให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดพ.ศ. 2534 มาตรา 29, 31
เลขาธิการปิดประกาศและแจ้งให้ผู้ซึ่งอาจอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินมายื่นคำร้องขอเข้ามาในคดี โดยปิดประกาศที่สำนักงานที่สถานีตำรวจท้องที่ที่มีการยึดหรืออายัดทรัพย์สิน อย่างน้อยเจ็ดวันและประกาศอย่างน้อยสองวันติดต่อกันในหนังสือพิมพ์ที่มีจำหน่ายแพร่หลายในท้องถิ่น กับแจ้งให้ผู้คัดค้านทราบทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับแล้ว
ผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านว่า ธนบัตรจำนวน 645,120 บาทผู้คัดค้านได้มาโดยสุจริตโดยประกอบการขายอาหาร ประเภทข้าวมันไก่และก๋วยเตี๋ยวที่บริเวณคอนโดคอมแพ็กวงแหวน ถนนเอกชัย แขวงบางบอน เขตบางบอน กรุงเทพมหานคร ผู้คัดค้านมีรายได้วันละ3,500 บาท หักค่าใช้จ่ายแล้วจะมีกำไรวันละ 1,200 บาท ปีหนึ่งมีรายได้เฉลี่ยมากกว่าสามแสนบาท ผู้คัดค้านทำการค้าติดต่อกันมากว่าสองปีแล้วจึงเก็บเงินสะสมไว้ในบ้าน เนื่องจากผู้คัดค้านเป็นชาวจีนภูเขา ไม่มีบัตรประจำตัวประชาชนจึงไม่มีหลักฐานไปแสดงเปิดบัญชีเงินฝากธนาคาร และธนบัตรจำนวนดังกล่าวศาลได้มีคำพิพากษาไม่ริบ แต่ได้คืนเจ้าของในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 8769/2541 ของศาลชั้นต้น ซึ่งมีนางสาวอาหลี แซ่ฟางเป็นจำเลยเมื่อผู้ร้องขอให้ริบธนบัตรจำนวนนี้อีก จึงเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)ขอให้ยกคำร้องและคืนธนบัตรจำนวน 645,120 บาท แก่ผู้คัดค้าน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ริบธนบัตรจำนวน 645,120 บาท ของกลางตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตามมาตรา 29, 31 แห่งพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติว่าผู้คัดค้านถูกฟ้องฐานมีเฮโรอีนและเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกผู้คัดค้าน 25 ปี ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 9871/2541 และให้นับโทษต่อจากโทษจำคุกของผู้คัดค้านซึ่งเป็นจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5047/2541 ของศาลจังหวัดสมุทรสาครริบเฮโรอีนและเมทแอมเฟตามีนของกลาง คดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านประการแรกมีว่า การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ริบธนบัตรจำนวน 645,120 บาท เป็นการร้องซ้อนหรือร้องซ้ำหรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 8769/2541ของศาลชั้นต้นหรือไม่ ผู้คัดค้านฎีกาว่า โจทก์แยกฟ้องนางสาวอาหลีแซ่ฟาง เป็นคดีอาญาหมายเลขดังกล่าวและมีคำขอให้ริบธนบัตร จำนวน 645,120 บาท ของกลาง ซึ่งเป็นธนบัตรจำนวนเดียวกับธนบัตรที่ขอให้ริบในคดีนี้ คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นพิพากษาเสร็จเด็ดขาดแล้วไม่ริบธนบัตรของกลางที่ขอให้ริบคดีนี้โดยสั่งให้คืนแก่เจ้าของ จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 144 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 และถือว่าสิทธินำคดีมาร้องของผู้ร้องระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) นั้น เห็นว่าคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 8769/2541 ของศาลชั้นต้น โจทก์ฟ้องผู้อื่นเป็นจำเลยและขอให้ริบธนบัตรของกลางจำนวนนี้ โดยอ้างการกระทำของจำเลยดังกล่าวอันจะเป็นเหตุให้ริบธนบัตรของกลางว่าเป็นทรัพย์สินซึ่งจำเลยในคดีดังกล่าวได้ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษในคดีนั้น ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 102 แต่คดีนี้ผู้ร้องอ้างเหตุให้ริบธนบัตรจำนวนเดียวกันนี้ว่าเป็นทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินได้ยึดธนบัตรจำนวนดังกล่าวไว้แล้วตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 16(3), 22, 27, 29และ 31 จึงเห็นได้ว่าคดีนี้กับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 8769/2541ของศาลชั้นต้น จำเลยมิใช่บุคคลคนเดียวกัน ทั้งมีประเด็นปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตลอดจนการกระทำที่อ้างเป็นเหตุให้ศาลพิจารณาริบธนบัตรจำนวนนี้แตกต่างกัน ดังนั้น การพิจารณาคดีนี้จึงหาเป็นการร้องซ้อนหรือร้องซ้ำหรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 8769/2541 ของศาลชั้นต้น หรือทำให้สิทธิของผู้ร้องระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(4) ดังฎีกาของผู้คัดค้านแต่ประการใดไม่ ฎีกาข้อนี้ของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านต่อไปมีว่า ธนบัตรจำนวน 645,120 บาท เป็นทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดหรือไม่โดยผู้คัดค้านฎีกาว่าผู้ร้องไม่มีพยานหลักฐานใดมายืนยันและหักล้างพยานหลักฐานและข้อกล่าวอ้างของผู้คัดค้านได้ ขอให้ยกคำร้องและคืนธนบัตรจำนวนดังกล่าวแก่ผู้คัดค้านนั้น เห็นว่า คดีนี้ผู้คัดค้านถูกฟ้องในความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกผู้คัดค้าน 25 ปี คดีถึงที่สุดแล้วตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 9871/2541 ของศาลชั้นต้น ดังนั้น ตามปัญหานี้จึงต้องตามบทบัญญัติมาตรา 29 วรรคท้าย แห่งพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534ซึ่งให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าธนบัตรจำนวน 645,120 บาท ที่ผู้คัดค้านมีอยู่หรือได้มาเกินกว่าฐานะหรือความสามารถในการประกอบอาชีพเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตกเป็นภาระของผู้คัดค้านที่ต้องพิสูจน์ว่าธนบัตรจำนวนดังกล่าวเป็นของผู้คัดค้านที่ได้มาโดยสุจริตและทรัพย์สินนั้นไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งผู้คัดค้านนำสืบได้ความเพียงว่า ธนบัตรจำนวน 645,120 บาท เป็นทรัพย์สินของตนที่แท้จริงแต่ที่อ้างว่าเป็นส่วนกำไรที่ผู้คัดค้านเก็บรวบรวมได้จากการขายข้าวมันไก่ ข้าวมันไก่ทอดและก๋วยเตี๋ยวเป็นระยะเวลาประมาณ 2 ปีโดยผู้คัดค้านและนางสาวอาหลี แซ่ฟาง ผู้ร่วมกระทำความผิดในคดียาเสพติดให้โทษกับผู้คัดค้านเบิกความเพียงลอย ๆ เท่านั้นหาได้พยานหลักฐานอื่นใดมาสนับสนุนไม่ ความข้อนี้นายศิกวัสบรรลุศาสตร์ พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจสอบทรัพย์สินและยึดทรัพย์สินของผู้คัดค้านพยานผู้ร้องเบิกความว่าผู้คัดค้านให้ถ้อยคำในการสอบสวนว่านำรถเข็นมาใช้ขายข้าวมันไก่ใช้ไก่วันละ 4 ตัวมีรายได้วันละ 3,500 บาท ถึง 3,900 บาท เมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้วจะมีกำไรวันละประมาณ 800 บาท ถึง 1,000 บาท แต่จากการตรวจสอบร้านขายข้าวมันไก่ของเจ้าหน้าที่ป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแล้ว ไก่ 4 ตัว จะขายได้ 60 จาน จานละ 20 บาทจะมีรายได้ประมาณ 1,200 บาทต่อวัน และมีกำไรวันละไม่เกิน200 บาท ทั้งตามบันทึกถ้อยคำของผู้คัดค้านเอกสารหมาย ร.7ที่ให้ไว้ต่อนายศิกวัสพยานผู้ร้อง ผู้คัดค้านให้ถ้อยคำว่าขายแต่ข้าวมันไก่เพียงอย่างเดียว หาได้ขายข้าวมันไก่ทอดและก๋วยเตี๋ยวดังที่เบิกความไม่ และกำไรจากการขายข้าวมันไก่เพียงอย่างเดียวต่อวันก็ขัดแย้งกับการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ดังที่นายศิกวัสเบิกความ นอกจากนี้ร้อยตำรวจเอกลือศักดิ์ดำเนินสวัสดิ์ พยานผู้ร้องอีกปากหนึ่งผู้ตรวจค้นจับกุมผู้คัดค้านเบิกความว่า ธนบัตรจำนวน 645,120 บาท ที่พบในกระเป๋าเอกสารวางอยู่ในตู้เสื้อผ้าภายในห้องนอน ผู้คัดค้านรับว่าได้มาจากการจำหน่ายเฮโรอีนและเมทแอมเฟตามีน ประกอบทั้งเมื่อพิจารณาภาพถ่ายธนบัตรของกลางหมาย ร.4 แล้ว เห็นได้ว่าเป็นธนบัตรใหม่แบ่งแยกชนิดอย่างเป็นระเบียบมีสายรัดของธนาคารรัดไว้แต่ละปึก จึงไม่น่าจะเป็นธนบัตรที่ผู้คัดค้านเก็บสะสมไว้จากการขายข้าวมันไก่ และยังได้ความอีกว่าก่อนหน้านี้ผู้คัดค้านมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษโดยถูกฟ้องในข้อหาจำหน่ายยาเสพติดให้โทษคดีอื่น ผู้คัดค้านให้การรับสารภาพศาลพิพากษาลงโทษจำคุก คดีถึงที่สุดแล้วตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5047/2541 ของศาลจังหวัดสมุทรสาครเช่นนี้ ที่ผู้คัดค้านนำสืบว่า ธนบัตรจำนวน 645,120 บาท เป็นของผู้คัดค้านที่ได้มาโดยสุจริตจากการขายข้าวมันไก่ ข้าวมันไก่ทอดและก๋วยเตี๋ยวนั้นจึงไม่มีน้ำหนักที่จะหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายและพยานหลักฐานของผู้ร้องได้ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าธนบัตรจำนวน645,120 บาท ดังกล่าวเป็นทรัพย์สินของผู้คัดค้านแต่เป็นทรัพย์สินที่มีอยู่หรือได้มาเกินกว่าฐานะหรือความสามารถในการประกอบอาชีพหรือกิจกรรมอย่างอื่นโดยสุจริตอันเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด จึงต้องริบธนบัตรจำนวนดังกล่าวให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตามความในมาตรา 29 และมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดพ.ศ. 2534 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน
( วีระศักดิ์ รุ่งรัตน์ - สุวัตร์ สุขเกษม - วิบูลย์ มีอาสา )
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4928/2541
ป.อ. มาตรา 36
พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 30, 31
พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 102
พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯ มาตรา 30 ได้บัญญัติให้ผู้ที่อ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่พนักงานอัยการร้องขอให้ริบเป็นทรัพย์สินของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดต้องยื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง และพิสูจน์ว่าผู้ที่ร้องเข้ามาไม่มีโอกาสทราบหรือไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะมีการกระทำความผิด และจะมีการนำทรัพย์สินของผู้ร้องไปใช้ในการกระทำความผิดดังนั้น เมื่อพนักงานอัยการโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้ริบรถยนต์ของกลางให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปราม ยาเสพติด ตามมาตรา 30,31 ต่อมาได้มีการประกาศ ในหนังสือพิมพ์รายวันเพื่อให้บุคคลซึ่งอาจอ้างว่าเป็น เจ้าของทรัพย์สินของกลางดังกล่าวซึ่งมีความประสงค์ จะคัดค้านได้ยื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีแล้ว และศาลชั้นต้น มีคำสั่งให้นัดไต่สวนพร้อมไปกับสืบพยานโจทก์และจะมีคำสั่ง ในคำพิพากษา ซึ่งในคดีดังกล่าวผู้ร้องซึ่งถูกฟ้องเป็นจำเลยที่ 2 ได้ให้การปฏิเสธและนำสืบพยานว่ารถยนต์ของกลาง เป็นของจำเลยที่ 2(ผู้ร้อง) จึงเป็นกรณีที่โจทก์ได้ดำเนินการ ขอให้ริบรถยนต์ของผู้ร้องตาม พระราชบัญญัติมาตรการ ในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30,31 และผู้ร้องได้เข้ามา ในกระบวนการที่กำหนดในมาตรา 30 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้ว การจะริบรถยนต์ของกลางของผู้ร้องจึงต้องบังคับตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30 ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษ ที่บัญญัติเรื่องการริบทรัพย์สินของกลางในคดีความผิด เกี่ยวกับยาเสพติดไว้โดยเฉพาะ กล่าวคือ ถ้าเป็น ทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดหรือใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดหรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด ก็ให้ริบเสียทั้งสิ้นไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่ ตามมาตรา 30 วรรคหนึ่ง และในกรณีที่ปรากฏเจ้าของแต่เจ้าของไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าตนไม่มีโอกาสทราบหรือไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะมีการกระทำความผิดและจะมีการนำทรัพย์สินดังกล่าวไปใช้ในการกระทำความผิดให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินดังกล่าวตามมาตรา 30 วรรคสองดังนั้น เมื่อต่อมาในคดีดังกล่าวศาลฎีกาวินิจฉัยว่ารถยนต์ของกลางของผู้ร้องเป็นยานพาหนะที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ริบรถยนต์ของกลางของผู้ร้องแล้วผู้ร้องย่อมไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลางเป็นคดีนี้อีก ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30 วรรคสาม ตอนท้าย
________________________________
คดีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดในความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษโดยจำคุกจำเลยที่ 1 ตลอดชีวิตให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 (ผู้ร้อง) ส่วนรถยนต์เก๋งของกลางทั้งสองคันให้ริบ
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์เก๋งหมายเลขทะเบียน 7ว-6323 กรุงเทพมหานคร ของกลางซึ่งเป็นทรัพย์สินส่วนหนึ่งที่ถูกริบ ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจในการที่จำเลยที่ 1 นำรถยนต์ของผู้ร้องไปบรรทุกยาเสพติดให้โทษ ขอให้ศาลมีคำสั่งคืนรถยนต์คันดังกล่าวแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านเข้ามาในคดีภายหลังการไต่สวนพยานผู้ร้องแล้ว
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องมีสิทธิที่จะขอคืนรถยนต์เก๋งยี่ห้อเบนซ์หมายเลขทะเบียน 7ว-6323 กรุงเทพมหานคร ของผู้ร้องหรือไม่ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2536จำเลยที่ 1 นำรถยนต์ของกลางของผู้ร้องไปบรรทุกเฮโรอีน ระหว่างทางถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมพร้อมด้วยเฮโรอีนต่อมาผู้ร้องถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมโดยกล่าวหาว่าร่วมกับจำเลยที่ 1มีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมยึดรถยนต์หมายเลขทะเบียน 6ฉ-3113กรุงเทพมหานคร ของจำเลยที่ 1 และรถยนต์หมายเลขทะเบียน7ว-6323 กรุงเทพมหานคร ของผู้ร้อง เป็นของกลาง ต่อมาโจทก์ได้ยื่นฟ้องผู้ร้องและจำเลยที่ 1 ในความผิดที่กล่าวหาและขอให้ริบรถยนต์ของกลางทั้งสองคัน ให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534มาตรา 30, 31 ต่อมาโจทก์แถลงว่าเจ้าพนักงานได้ประกาศในหนังสือพิมพ์รายวันเพื่อให้บุคคลซึ่งอาจอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินของกลางดังกล่าวซึ่งมีความประสงค์จะคัดค้านได้ยื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าให้นัดไต่สวนพร้อมกับสืบพยานโจทก์และมีคำสั่งในคำพิพากษาต่อไปและศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสอง และริบรถยนต์ของกลางทั้งสองคันตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30, 31จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องและไม่ริบรถยนต์ของกลางศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 (ผู้ร้อง)รถยนต์ของกลางทั้งสองคันไม่ริบ โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2(ผู้ร้อง) และริบรถยนต์ของกลางทั้งสองคัน ต่อมาศาลฎีกาพิพากษาคดีถึงที่สุดให้จำคุกจำเลยที่ 1 ตลอดชีวิต ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 (ผู้ร้อง) ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ส่วนรถยนต์ของกลางทั้งสองคันเป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้ในการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษและใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 102 และพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30, 31 ให้ริบตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว เห็นว่าพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30 บัญญัติว่า"บรรดาเครื่องมือ เครื่องใช้ ยานพาหนะ ที่ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด หรือใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิด หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดให้ริบเสียทั้งสิ้นไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่"วรรคสองบัญญัติว่า "ให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลที่พิจารณาคดีนั้นเพื่อขอให้ริบทรัพย์สิน ให้บุคคลซึ่งอาจอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินมายื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง และในวรรคสามบัญญัติว่า "ในกรณีที่ไม่มีผู้ใดอ้างตัวเป็นเจ้าของก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง หรือในกรณีที่ปรากฏเจ้าของแต่เจ้าของไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าตนไม่มีโอกาสทราบหรือไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะมีการกระทำความผิดและจะมีการนำทรัพย์สินดังกล่าวไปใช้ในการกระทำความผิดให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินดังกล่าวได้เมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันแรกของวันประกาศในหนังสือพิมพ์รายวัน และในกรณีนี้มิให้นำมาตรา 36 แห่งประมวลกฎหมายอาญามาใช้บังคับ" ดังนี้เห็นว่า พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดดังกล่าวให้ผู้ที่อ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่พนักงานอัยการร้องขอให้ริบเป็นทรัพย์สินของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจะต้องยื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง และพิสูจน์ว่าผู้ที่ร้องเข้ามาไม่มีโอกาสทราบ หรือไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะมีการกระทำความผิดและจะมีการนำทรัพย์สินของผู้ร้องไปใช้ในการกระทำความผิดเมื่อคดีดังกล่าวข้อเท็จจริงปรากฏว่า พนักงานอัยการโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้ริบรถยนต์ของกลางทั้งสองคันให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดพ.ศ. 2534 มาตรา 30, 31 และต่อมาได้มีการประกาศในหนังสือพิมพ์รายวันเพื่อให้บุคคลซึ่งอาจอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินของกลางดังกล่าวซึ่งมีความประสงค์จะคัดค้านได้ยื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีแล้ว และศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นัดไต่สวนพร้อมไปกับสืบพยานโจทก์และจะมีคำสั่งในคำพิพากษา ซึ่งในคดีดังกล่าวผู้ร้องซึ่งถูกฟ้องเป็นจำเลยที่ 2 ได้ให้การปฏิเสธขอให้ศาลพิพากษายกฟ้องและนำสืบพยานว่ารถยนต์หมายเลขทะเบียน 7ว-6323กรุงเทพมหานคร เป็นของจำเลยที่ 2 (ผู้ร้อง) จึงเป็นกรณีที่โจทก์ได้ดำเนินการขอให้ริบรถยนต์ของผู้ร้องตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดพ.ศ. 2534 มาตรา 30, 31 และผู้ร้องได้เข้ามาในกระบวนการที่กำหนดในมาตรา 30 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้วซึ่งการจะริบรถยนต์ของกลางของผู้ร้องนั้น ต้องบังคับตามมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดพ.ศ. 2534 มาตรา 30 ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษที่บัญญัติเรื่องการริบทรัพย์สินของกลางในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดไว้โดยเฉพาะกล่าวคือ ถ้าเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด หรือใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิด หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด ก็ให้ริบเสียทั้งสิ้นไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่ ตามมาตรา 30 วรรคหนึ่งและในกรณีที่ปรากฏเจ้าของ แต่เจ้าของไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าตนไม่มีโอกาสทราบ หรือไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่า จะมีการกระทำความผิด และจะมีการนำทรัพย์สินดังกล่าวไปใช้ในการกระทำความผิด ให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินดังกล่าว ตามมาตรา 30 วรรคสาม ดังนั้น เมื่อต่อมาในคดีดังกล่าว ศาลฎีกาได้ฟังข้อเท็จจริงว่า รถยนต์ของกลางของผู้ร้องเป็นยานพาหนะที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ริบรถยนต์ของกลางของผู้ร้องแล้วผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลางเป็นคดีนี้อีกตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 วรรคสาม ตอนท้าย
พิพากษายืน
( อรรถนิติ ดิษฐอำนาจ - สุทิน ปัทมราช - วิเชียรศิริชัย สวัสดิ์มงคล )
คำพิพากษาศาลฎีกาเหล่านี้ Thai Law Consult นำมาจากระบบสืบค้นคำพิพากษาฎีกา วันที่ 14-05-2556