คดีที่ 10 ต่อสู้คดีล้มละลาย จากฎีกาเด่น
- คดีล้มละลาย เมื่อศาลรับฟ้องแล้ว ศาลจะกำหนดวันนั่งพิจารณาเป็นการด่วน ลูกหนี้และทนายความ มีทางเลือกอยู่ 2 แนวทาง คือ รับสารภาพแล้วขอเวลาเจรจาชำระหนี้ หรือต่อสู้คดี กำหนดวันสืบเป็นการด่วน แต่ยังมีทนายความอีกหลายคนใช้วิธีทั้งต่อสู้ ทั้งชำระหนี้ โดยเฉพาะคดีที่มีทุนทรัพย์สูง เช่นคดีที่บริษัทบริหารสินทรัพย์เป็นเจ้าหนี้
- ทีมทนายความ Thai Law Consult หลายคน ถูกน้องๆ ทนายความรุ่นใหม่สอบถามเสมอว่า จะต่อสู้คดีอย่างไร ลูกหนี้ที่มาให้ช่วยจึงจะไม่ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด จึงนำแนวทางต่อสู้คดีล้มละลายจากฎีกาเด่นมาลงไว้ให้ผู้สนใจได้ศึกษาครับ
หลัก
พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483
มาตรา 7 ลูกหนี้ที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวอาจถูกศาลพิพากษาให้ล้มละลายได้ถ้า ลูกหนี้นั้นมีภูมิลำเนาในราชอาณาจักร หรือประกอบธุรกิจในราชอาณาจักรไม่ว่าด้วยตนเอง หรือโดยตัวแทนในขณะที่มีการขอให้ลูกหนี้ล้มละลาย หรือภายในกำหนดเวลาหนึ่งปีก่อนนั้น
มาตรา 8 ถ้ามีเหตุอย่างหนึ่งอย่างใดดั่งต่อไปนี้เกิดขึ้น ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว
(1) ถ้าลูกหนี้โอนทรัพย์สินหรือสิทธิจัดการทรัพย์สินของตนให้แก่บุคคลอื่น เพื่อประโยชน์แห่งเจ้าหนี้ทั้งหลายของตน ไม่ว่าได้กระทำการนั้นในหรือนอก ราชอาณาจักร
(2) ถ้าลูกหนี้โอน หรือส่งมอบทรัพย์สินของตนไปโดยการแสดงเจตนา ลวง หรือโดยการฉ้อฉล ไม่ว่าได้กระทำการนั้นในหรือนอกราชอาณาจักร
(3) ถ้าลูกหนี้โอนทรัพย์สินของตน หรือก่อให้เกิดทรัพยสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดขึ้นเหนือทรัพย์สินนั้น ซึ่งถ้าลูกหนี้ล้มละลายแล้ว จะต้องถือว่าเป็นการให้เปรียบ ไม่ว่าได้กระทำการนั้นในหรือนอกราชอาณาจักร
(4) ถ้าลูกหนี้กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดดั่งต่อไปนี้ เพื่อประวิงการชำระหนี้หรือมิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้
ก. ออกไปเสียนอกราชอาณาจักร หรือได้ออกไปก่อนแล้วและคงอยู่นอกราชอาณาจักร
ข. ไปเสียจากเคหะสถานที่เคยอยู่ หรือซ่อนตัวอยู่ในเคหะสถาน หรือหลบไป หรือโดยวิธีอื่น หรือปิดสถานที่ประกอบธุรกิจ
ค. ยักย้ายทรัพย์ไปให้พ้นอำนาจศาล
ง. ยอมตนให้ต้องคำพิพากษา ซึ่งบังคับให้ชำระเงินซึ่งตนไม่ควรต้องชำระ
(5) ถ้าลูกหนี้ถูกยึดทรัพย์ตามหมายบังคับคดี หรือไม่มีทรัพย์สิน อย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้
(6) ถ้าลูกหนี้แถลงต่อศาลในคดีใด ๆ ว่าไม่สามารถชำระหนี้ได้
(7) ถ้าลูกหนี้แจ้งให้เจ้าหนี้คนหนึ่งคนใดของตนทราบว่า ไม่สามารถชำระหนี้ได้
(8) ถ้าลูกหนี้เสนอคำขอประนอมหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตั้งแต่สองคนขึ้นไป
(9) ถ้าลูกหนี้ได้รับหนังสือทวงถามจากเจ้าหนี้ ให้ชำระหนี้แล้วไม่น้อย กว่าสองครั้งซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวันและลูกหนี้ไม่ชำระหนี้
มาตรา 9 เจ้าหนี้จะฟ้องลูกหนี้ให้ล้มละลายได้ก็ต่อเมื่อ
(1) ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว
(2) ลูกหนี้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาเป็นหนี้เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์คนเดียว หรือหลายคน เป็นจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาท หรือลูกหนี้ซึ่งเป็น นิติบุคคลเป็นหนี้เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์คนเดียวหรือหลายคนเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าสองล้านบาท และ
(3) หนี้นั้นอาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน ไม่ว่าหนี้นั้นจะถึงกำหนดชำระโดยพลันหรือในอนาคตก็ตาม
มาตรา 10 ภายใต้บังคับ มาตรา 9 เจ้าหนี้มีประกันจะฟ้องลูกหนี้ให้ ล้มละลายได้ก็ต่อเมื่อ
(1) มิได้เป็นผู้ต้องห้ามมิให้บังคับการชำระหนี้เอาแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ เกินกว่าตัวทรัพย์ที่เป็นหลักประกัน และ
(2) กล่าวในฟ้องว่า ถ้าลูกหนี้ล้มละลายแล้วจะยอมสละหลักประกันเพื่อ ประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งหลาย หรือตีราคาหลักประกันมาในฟ้องซึ่งเมื่อหักกับ จำนวนหนี้ของตนแล้ว เงินยังขาดอยู่สำหรับลูกหนี้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา เป็นจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาท หรือลูกหนี้ซึ่งเป็นนิติบุคคล เป็นจำนวนไม่น้อยกว่าสองล้านบาท
มาตรา 14 ในการพิจารณาคดีล้มละลายตามคำฟ้องของเจ้าหนี้นั้น ศาลต้องพิจารณาเอาความจริงตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 9 หรือ มาตรา 10 ถ้าศาลพิจารณาได้ความจริง ให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดแต่ ถ้าไม่ได้ความจริงหรือลูกหนี้นำสืบได้ว่าอาจชำระหนี้ได้ทั้งหมดหรือมีเหตุที่ ไม่ควรให้ลูกหนี้ล้มละลาย ให้ศาลยกฟ้อง
การต่อสู้คดีล้มละลายของทนายความ ตามมาตรา 14 เพื่อให้ศาลยกฟ้อง
ทบทวน
1) กรณีที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เมื่อศาลพิจารณาได้ความจริงตามมาตรา 9 หรือมาตรา 10 และลูกหนี้นำสืบไม่ได้ว่าอาจชำระหนี้ได้ทั้งหมด หรือไม่มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้ลูกหนี้ล้มละลาย (ฎีกาที่ 3470/2542, 1863/2545)
2) กรณีที่ศาลพิพากษายกฟ้อง ด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งดังนี้
2.1) ไม่ได้ความจริงตาม มาตรา 9 หรือ มาตรา 10 เช่น
- โจทก์หมดสิทธิบังคับคดีในมูลหนี้ตามคำพิพากษาที่นำมาฟ้องเป็นคดีล้มละลายแล้ว (ฎีกาที่ 942/2538, 6176/2540)
- โจทก์หมดสิทธิบังคับคดีในหนี้ภาษีอากรค้าง เนื่องจากมิได้บังคับคดีภายใน 10 ปี นับแต่เป็นหนี้เด็ดขาด (ฎีกาที่ 2230/2544)
2.2) ลูกหนี้นำสืบว่า อาจชำระหนี้ได้ทั้งหมด
แม้ว่าลูกหนี้มีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน ทรัพย์สินที่ลูกหนี้มีอยู่ไม่เพียงพอชำระหนี้ แต่หากพยานที่ลูกหนี้นำสืบให้ศาลเห็นได้ว่า ลูกหนี้สามารถที่จะประกอบอาชีพ หรือหารายได้มาชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ได้ทั้งหมดในเวลาอันสมควร ก็ถือเป็นเหตุที่ศาลพิพากษายกฟ้อง (ฎีกาที่ 1885/2542, 4098/2548, 6149/2548)
2.3) มีเหตุอื่นไม่ควรให้ลูกหนี้ล้มละลาย
- หนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องขาดอายุความ (ฎีกาที่ 71/2522, 5355/2530)
- กรณีใช้กฎหมายล้มละลายบีบบังคับลูกหนี้ (ฎีกาที่ 568/2506, 588/2535)
- ลูกหนี้ขวนขวายชำระหนี้ (ฎีกาที่ 2790/2552)
- เหตุที่ไม่ควรให้ลูกหนี้ล้มละลาย ในกรณีที่มีลูกหนี้ร่วม หรือผู้ค้ำประกัน จะต้องพิจารณาเหตุของลูกหนี้คนนั้นๆ เป็นเรื่องเฉพาะตัวของลูกหนี้ร่วมแต่ละคน (ฎีกาที่ 418/2538, 4287/2543)
3) การฟ้องให้หุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดล้มละลาย
ถ้าโจทก์ฟ้องให้หุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดล้มละลาย มาพร้อมกับการฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน ในการพิจารณาของศาลล้มละลาย หากว่าศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ ห้างหุ้นส่วนจำกัดหรือห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน เด็ดขาดแล้ว ศาลล้มละลายสามารถมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด หุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดไปได้เลย โดยไม่ต้องพิจารณาว่า หุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดนั้นมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่
เนื่องจาก หุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิด ต้องร่วมรับผิดในหนี้ของห้างฯ โดยไม่จำกัดจำนวน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1070, 1077(2) หุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิด ต้องล้มละลายตามห้างฯ ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย มาตรา 89 (ฎีกาที่ 94/2547)
- ทางต่อสู้ของทนายความ – บุคคลดังกล่าวมิได้เป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิด ในขณะที่มีการฟ้องขอให้ล้มละลาย – บุคคลนั้น ออกจากการเป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดในห้างฯ เกินกว่า 2 ปี นับแต่วันที่โจทก์ยื่นฟ้องแล้ว บุคคลดังกล่าวก็ไม่ต้องรับผิดชอบในหนี้ของห้างฯ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1068 (ฎีกาที่ 5011/2547, 2779/2552)
การอุทธรณ์
หลัก
พ.ร.บ.จัดตั้งศาลล้มละลาย มาตรา 24
ภายใต้บังคับแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการฎีกาคำพิพากษา หรือคำสั่งของศาลล้มละลายให้อุทธรณ์ไปยังศาลฎีกาภายในกำหนดหนึ่งเดือน นับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น
ห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลล้มละลาย เว้นแต่
(1) คำพิพากษายกฟ้อง หรือคำสั่งยกคำร้องหรือคำร้องขอให้ล้มละลาย
(2) คำสั่งยกคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการ
(3) คำสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ไม่ว่าทั้งหมด หรือแต่บางส่วน
(4) คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด
(5) คำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีแพ่งที่เกี่ยวพันกับคดีตามกฎหมายว่าด้วยล้มละลาย
จำ การที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด หรือพิพากษายกฟ้อง ตามมาตรา 14 ถือว่าเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดคดีแล้ว คู่ความสามารถอุทธรณ์ไปยังศาลฎีกา ภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษา หรือคำสั่งนั้น ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลล้มละลาย มาตรา 24 วรรค 2 (1) หรือ (4) แล้วแต่กรณี
- การที่ลูกหนี้อุทธรณ์คำสั่ง คำพิพากษา ต่อศาลฎีกา แม้ว่าปัญหาบางประเด็น ลูกหนี้จะมิได้หยิบยกขึ้นมาว่ากล่าวมาก่อนในชั้นการพิจารณาของศาลล้มละลาย แต่เนื่องจาก คดีล้มละลายเป็นคดีที่กระทบต่อสิทธิ เสรีภาพของลูกหนี้ จึงเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ลูกหนี้จึงสามารถหยิบยกขึ้นมาในชั้นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาได้ (ฎีกาที่ 2704/2549)
ทีมงาน Thai Law Consult นำเนื้อหามาจากหนังสือ คู่มือการศึกษากฎหมายล้มละลาย ของอาจารย์เอื้อน ขุนแก้ว ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 9 แก้ไขเพิ่มเติม จำนวนหน้า 545 หน้า ราคาขายเพียง 300 บาท และคำอธิบายกฎหมายล้มละลายและการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ ของอาจารย์วิชา มหาคุณ พิมพ์ครั้งที่ 12 โดยสำนักพิมพ์นิติบรรณาการ จำนวน 742 หน้า ราคาเพียง 420 บาท หนังสือทั้ง 2 เล่ม นักศึกษาเนติบัณฑิต และทนายความคดีล้มละลาย นิยมใช้เป็นตำราอ้างอิง เพราะเนื้อหาครบถ้วน อ่านแล้วเข้าใจง่ายครับ
ส่วนฎีกาเด่น Thai Law Consult ได้นำมาลงไว้ข้างล่างนี้แล้วครับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2542/2549
ป.พ.พ. มาตรา 193/30, 659 วรรคสาม
________________________________
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1181/2541
ป.พ.พ. มาตรา 193/30, 563, 671
________________________________
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2205/2542
ป.พ.พ. มาตรา 420, 537, 657
ป.วิ.พ. มาตรา 224
________________________________
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3517/2525
ป.พ.พ. มาตรา 164, 226, 227, 561, 567, 657, 665, 671, 880
ป.วิ.พ. มาตรา 248
________________________________

