ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร น.บ.ท.64 เรียบเรียง
ยกหูถึง "พี่ตุ๊กตา"

 

เรื่องที่ 27      ละเมิด ฟ้องแพทย์ เรียกค่าเสียหายที่ไม่ใช่ตัวเงิน ตอน ทนทุกข์ทรมานระหว่างเจ็บป่วย และ สูญเสียความสวยงามของเพศหญิง


                    วันนี้ 19 สิงหาคม 2556 คุณเรวัตร ไชยพงศ์ โทรมาจากอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช ว่า กรณีสะพาน 200 ปี ถล่ม ที่อำเภอท่าเรือ จังหวัดอยุธยา จะเรียกค่าเสียหายที่ไม่ใช่ตัวเงินเป็นค่าทนทุกข์ทรมานระหว่างเจ็บป่วย ค่าเสียสมรรถภาพในการมองเห็น และค่าสูญเสียความสวยงามของเพศหญิง ได้หรือไม่ อย่างไร และจะเรียกเท่าไหร่ดี มีคดีตัวอย่างที่ประชาชนพอจะศึกษาได้บ้างหรือไม่ พี่ตุ๊กตา ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร น.บ.ท.64, ทนายเจี๊ยบ สาวิตรี จิตซื่อ จึงรีบนำฎีกาที่ 6092/2552 หรือ ฎีกากระทรวงสาธารณสุข มาลงไว้ค่ะ

A.   หลักกฎหมาย โปรดดูในเรื่องที่ 26 "ละเมิด เรียกค่าเสียหายที่ไม่ใช่ตัวเงิน ตอน ขาข้างขวาสั้นกว่าขาข้างซ้าย"

B.   คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6092/2552 ซึ่งเมื่ออ่านแล้ว จะให้ความรู้ได้ว่า จะเรียกค่าเสียหายเพียงใดและเรียกอย่างไร (ถ้าเรียกค่าเสียหายสูงเกินควร จะเอาค่าขึ้นศาลหรือค่าธรรมเนียมศาล ร้อยละ 2 จากไหน และผู้เสียหายหรือโจทก์จะได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาหรือไม่)

ป.พ.พ. มาตรา 420, 446

          การตรวจร่างกายของผู้ป่วยถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการที่แพทย์จะวินิจฉัยโรคว่าผู้ป่วยเป็นโรคอะไร พยาธิสภาพอยู่ที่ไหนและอยู่ในระยะใดเพื่อจะนำไปสู่การรักษาได้ถูกต้อง ในขั้นตอนนี้แพทย์จักต้องใช้ความระมัดระวังตามวิสัยและพฤติการณ์มิให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ เพราะอาจนำมาซึ่งอันตรายที่จะเกิดแก่ร่างกายหรือชีวิตของผู้ป่วยในขั้นตอนการรักษาที่ต่อเนื่องกัน การที่จำเลยที่ 3 มิได้ตรวจดูอาการของโจทก์ตั้งแต่แรกเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพนมสารคามด้วยตนเอง แต่วินิจฉัยโรคและสั่งการรักษาอาการของโจทก์ตามที่ได้รับรายงานทางโทรศัพท์จากพยาบาลแทนโดยไม่ได้ตรวจสอบประวัติการรักษาของโจทก์ด้วยตนเอง แม้จำเลยที่ 3 จะสอบถามอาการและประวัติการรักษาของโจทก์จากพยาบาลก่อนที่พยาบาลจะฉีดยาให้แก่โจทก์เพื่อทำการรักษา ก็มิใช่วิสัยของบุคคลผู้มีวิชาชีพเป็นแพทย์จะพึงกระทำ ทั้งห้องแพทย์เวรกับห้องฉุกเฉินที่โจทก์อยู่ห่างกันเพียง 20 เมตร และไม่มีเหตุสุดวิสัยอันทำให้จำเลยที่ 3 ไม่สามารถมาตรวจวินิจฉัยอาการของโจทก์ได้ด้วยตนเอง ถือได้ว่าจำเลยที่ 3 ประมาทเลินเล่อ เมื่อพยาบาลได้ฉีดยาบริคานิลให้แก่โจทก์ตามที่จำเลยที่ 3 สั่งการหลังจากนั้นโจทก์มีอาการแพ้ยาอย่างรุนแรงโดยโจทก์ไม่มีอาการเช่นว่านั้นมาก่อน จึงเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลยที่ 3 ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย อันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์
          ความยินยอมของโจทก์ที่ให้จำเลยที่ 3 ทำการรักษาแม้จะเป็นการแสดงออกให้จำเลยที่ 3 กระทำต่อร่างกายของโจทก์เพื่อการรักษาได้ แต่หากการรักษานั้นไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานแห่งวิชาชีพแพทย์ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ร่างกายของโจทก์ ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 3 อันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 3 ก็ต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 1 อันเป็นหน่วยงานของรัฐให้รับผิดต่อโจทก์ในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ 3 ได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ได้
          ค่าทนทุกข์ทรมานระหว่างเจ็บป่วย ค่าเสียสมรรถภาพในการมองเห็นและค่าสูญเสียความสวยงามของโจทก์ถือได้ว่าเป็นความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงิน โจทก์จึงมีสิทธิเรียกได้ตามป.พ.พ. มาตรา 446

________________________________

          โจทก์ฟ้องโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาว่าจำเลยที่ 1 เป็นกระทรวง ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นกรมในสังกัดของรัฐบาลและเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 โรงพยาบาลพนมสารคาม เป็นสถานพยาบาลซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 มอบหมายให้จำเลยที่ 3 เป็นผู้อำนวยการและรักษาผู้เจ็บป่วย จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 3 ในผลเสียหายอันเกิดจากการกระทำละเมิดที่จำเลยที่ 3กระทำไปในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เมื่อประมาณเดือนมีนาคม 2541 โจทก์ตั้งครรภ์ มีอาการเจ็บท้องคลอด จึงเข้าทำการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลพนมสารคาร แพทย์ประจำโรงพยาบาลให้โจทก์รับประทานยาเพื่อปิดปากมดลูก ทำให้เกิดอาการระคายเคืองตามผิวหนังทั่วร่างกายและภายในดวงตาแต่อาการโจทก์เนื่องจากเจ็บท้องคลอดดีขึ้น แพทย์จึงให้โจทก์กลับไปรักษาตัวที่บ้าน ต่อมาโจทก์เกิดอาการป่วยอย่างเดิม ต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลพนมสารคามอีกครั้งจำเลยที่ 3 ตรวจอาการป่วยเจ็บของโจทก์โดยประมาทเลินเล่อมิได้ตรวจสอบประวัติการรักษาของโจทก์ก่อน และเมื่อจะให้ยาเพื่อบำบัดรักษา ก็มิได้ตรวจสอบก่อนว่ายาดังกล่าวทำให้โจทก์มีอาการแพ้ยาหรือไม่ อันเป็นเหตุให้เมื่อจำเลยที่ 3 ให้ยาบำบัดแก่โจทก์ โจทก์เกิดอาการแพ้ยา มีอาการระคายเคืองตามผิวหนังและดวงตา จำเลยที่ 3 ก็มิได้หยุดให้ยาดังกล่าว ทำให้อาการของโจทก์ทวีขึ้น เกิดพุพองตามผิวหนังของร่างกายและเน่าเฟะ ที่นัยน์ตาของโจทก์เกิดอาการพร่ามัวทำให้โจทก์ขาดสมรรถภาพในการมองเห็น ต้องทนทุกข์ทรมานเป็นเวลากว่า 3 เดือน โจทก์ขอคิดค่าเสียหายส่วนนี้ 1,000,000 บาท และจากการสูญเสียสมรรถภาพในการมองเห็นของดวงตากลายเป็นคนพิการ ขอคิดค่าเสียหาย 2,000,000 บาท นอกจากนี้โจทก์ต้องสูญเสียความสวย เนื่องจากผิวพรรณโจทก์มีร่องรอยบาดแผลคิดเป็นค่าเสียหาย 2,000,000 บาท รวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 5,000,000 บาท จำเลยทั้งสามจึงต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวแก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 5,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
          จำเลยทั้งสามให้การว่า โรงพยาบาลพนมสารคารและแพทย์ประจำโรงพยาบาลพนมสารคามไม่ได้เป็นส่วนราชการและไม่ได้เป็นข้าราชการสังกัดจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมกันรับผิดกับจำเลยที่ 3 โจทก์ฟ้องจำเลยที่1 ให้รับผิดต่อโจทก์ในผลแห่งละเมิดของจำเลยที่ 3 ซึ่งกระทำในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 แล้วโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 จำเลยที่ 3 มิได้ประมาทเลินเล่อในการรักษาอาการป่วยเจ็บของโจทก์ ขณะโจทก์เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพนมสารคามเนื่องจากเจ็บครรภ์จะคลอดก่อนกำหนด จำเลยที่ 3 ได้ใช้ความระมัดระวังในการรักษาโจทก์ตามวิสัยและพฤติการณ์ที่แพทย์ทั่วไปจะพึงปฏิบัติแล้ว ก่อนรักษาได้ให้เจ้าหน้าที่ซักถามและตรวจสอบประวัติของโจทก์ ไม่ปรากฏว่าโจทก์เคยมีอาการแพ้ยาหรือเคยผ่าตัดมาก่อนหรือมีโรคประจำตัว และก่อนพ้นจากหน้าที่แพทย์เวร จำเลยที่ 3 ตรวจสอบอาการของโจทก์อีกครั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์มีอาการแพ้ยา ต่อมาเมื่อพบว่าโจทก์มีผื่นแดงที่ขา โดยสงสัยว่าจะเกิดจากการแพ้ยา พยาบาลเวรจึงหยุดให้ยาแก่โจทก์ทันทีพร้อมทั้งรายงานให้แพทย์เวรทราบ แพทย์เวรได้สั่งการรักษาอาการดังกล่าวทันที ก่อนให้การรักษาแก่โจทก์ โจทก์ให้ความยินยอมแก่จำเลยที่ 3 ทำการรักษาโดยยอมรับผลที่เกิดขึ้นจากการรักษาแล้ว จำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงไม่ต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ สำหรับค่าเสียหายที่โจทก์เรียกมานั้นสูงเกินสมควร ผื่นที่เกิดขึ้นจากการแพ้ยาเมื่ออาการดีขึ้นจะลอกตกสะเก็ตไม่เกิดแผลเป็น ส่วนดวงตาของโจทก์พิการเพียงข้างเดียว ทำให้เสียประสิทธิภาพในการทำงานเพียงร้อยละ 25 สามารถผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาดำได้ ความเสียหายของโจทก์ไม่เกิน 50,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
          ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 ศาลชั้นต้นอนุญาต
          ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 2,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 28 กันยายน 2541) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
          โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ โดยโจทก์ได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
          ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
          โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา โดยโจทก์ได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลพนมสารคารสังกัดจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐมีหน้าที่บริหารงานของโรงพยาบาลและปฏิบัติหน้าที่ในฐานะแพทย์ตรวจรักษาคนไข้ เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2541 เวลา 10 นาฬิกา โจทก์ซึ่งตั้งครรภ์ได้ 6 เดือน มีอาการเจ็บท้องได้มาตรวจรักษาที่โรงพยาบาลพนมสารคาม แพทย์ให้การรักษาโจทก์โดยให้ยากันมดลูกหดตัวและยานอนหลับหรือยากันชัก ได้แก่ยาบริคานิลและฟีโนบาร์บโจทก์นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลดังกล่าวจนถึงวันที่ 4 เมษายน 2541 เวลา 9 นาฬิกา ก็ออกจากโรงพยาบาล แต่ในวันเดียวกันเวลาประมาณ 22 นาฬิกา โจทก์มาตรวจรักษาที่โรงพยาบาลพนมสารคารอีกครั้ง เนื่องจากโจทก์หกล้มท้องกระแทกกับต้นไม้ แพทย์ให้การรักษาโจทก์โดยยังคงให้ยาบริคานิลและฟีโนบาร์บ กับเพิ่มยาโนสปาแก้ปวดท้อง โจทก์นอนรักษาตัวโรงพยาบาลจนถึงวันที่ 12 เมษายน 2541 ต่อมาวันที่ 15 เมษายน 2541 เวลาประมาณ 4 นาฬิกา โจทก์มารับการรักษาที่โรงพยาบาลพนมสารคามอีกครั้ง ซึ่งมีจำเลยที่ 3 เป็นแพทย์เวรผู้ให้การรักษา และในวันเดียวกันเวลาบ่ายโจทก์ขอย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลเมืองฉะเชิงเทราโดยโจทก์มีอาการแพ้ยา มีแผลพุพองที่ใบหน้า ปาก ตาทั้งสองข้าง กับตามร่างกายทั่วไป และกระจกตาข้างซ้ายทะลุ ทำให้เกิดอาการพร่ามัว ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน ตามภาพถ่ายหมาย จ.2
          คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ก่อนว่า จำเลยที่ 3 กระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ โดยจำเลยที่ 1 ฎีกาว่า แม้จำเลยที่ 3 จะมิได้ตรวจดูอาการของโจทก์ตั้งแต่แรกเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพนมสารคามก็ตาม แต่ก็ได้สอบถามอาการและประวัติการรักษาของโจทก์จากพยาบาลก่อนทำการรักษา และได้ให้ยาบริคานิลซึ่งเป็นยาที่โจทก์เคยได้รับมาแล้วจากการรักษาของแพทย์อื่น ก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด ความเสียหายของโจทก์จึงมิใช่ผลโดยตรงจากการตรวจรักษาของจำเลยที่ 3 ทั้งโจทก์ปกปิดไม่แจ้งเรื่องการแพ้ยาแก่แพทย์และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลพนมสารคาม นับว่าโจทก์มีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายดังกล่าวด้วย จำเลยที่ 3 มิได้กระทำการโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัย เห็นว่า การตรวจและวินิจฉัยโรคของแพทย์โดยเฉพาะการตรวจร่างกายของผู้ป่วยถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการวินิจฉัยโรคว่าผู้ป่วยเป็นโรคอะไร พยาธิสภาพอยู่ที่ไหนและอยู่ในระยะใดเพื่อจะนำไปสู่การรักษาได้ถูกต้อง ในขั้นตอนนี้แพทย์จักต้องใช้ความระมัดระวังตามวิสัยและพฤติการณ์มิให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ เพราะอาจนำมาซึ่งอันตรายที่จะเกิดแก่ร่างกายหรือชีวิตของผู้ป่วยในขั้นตอนการรักษาที่ต่อเนื่องกันเมื่อทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยที่ 3 มิได้ตรวจดูอาการของโจทก์ตั้งแต่แรกเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพนมสารคามด้วยตนเอง แต่วินิจฉัยโรคและสั่งการรักษาอาการของโจทก์ตามที่ได้รับรายงานทางโทรศัพท์จากพยาบาลแทนโดยไม่ได้ตรวจสอบประวัติการรักษาของโจทก์ด้วยตนเอง แม้จำเลยที่ 3 จะสอบถามอาการและประวัติการรักษาของโจทก์จากพยาบาลก่อนที่พยาบาลจะฉีดยาให้แก่โจทก์เพื่อทำการรักษาก็ตาม ก็หาใช่วิสัยของบุคคลผู้มีวิชาชีพเป็นแพทย์จะพึงกระทำไม่ ทั้งห้องแพทย์เวรกับห้องฉุกเฉินที่โจทก์อยู่ห่างกันเพียง 20 เมตร ตามพฤติการณ์ก็ไม่ปรากฏว่ามีเหตุสุดวิสัยอันทำให้จำเลยที่ 3 ไม่สามารถมาตรวจวินิจฉัยอาการของโจทก์ได้ด้วยตนเองแต่อย่างใดถือได้ว่าจำเลยที่ 3 ประมาทเลินเล่อ เมื่อพยาบาลได้ฉีดยาบริคานิลให้แก่โจทก์ตามที่จำเลยที่ 3 สั่งการหลังจากนั้นโจทก์มีอาการแพ้ยาอย่างรุนแรง โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์มีอาการเช่นว่านั้นมาก่อน อาการแพ้ยาของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลยที่ 3 ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย อันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาอ้างว่า โจทก์ปกปิดไม่แจ้งเรื่องการแพ้ยาให้ทราบนั้นข้อนี้โจทก์เบิกความยืนยันว่า หลังจากพยาบาลฉีดยาให้แก่โจทก์แล้วโจทก์มีอาการชักและเกร็งทั้งตัว จึงบอกพยาบาลว่าเข้าใจว่าจะแพ้ยาดังกล่าว เจ็บทนไม่ไหว ขอให้ชักสายน้ำเกลือออกแต่พยาบาลไม่ยอมแสดงว่าโจทก์ว่าจะเพิ่งทราบว่าตนเองแพ้ยาเพราะตามประวัติการรักษาของโจทก์ไม่ปรากฏว่าโจทก์เคยแพ้ยามาก่อน จึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์มีส่วนผิดที่ปกปิดไม่แจ้งเรื่องการแพ้ยาดังกล่าว ส่วนที่จำเลยที่ 1 อ้างว่า โจทก์ได้ให้ความยินยอมแก่จำเลยที่ 1 แล้วว่า หากโจทก์ได้รับอันตรายอันเนื่องจากการรักษา โจทก์จะไม่เรียกร้องหรือฟ้องร้องแก่เจ้าหน้าที่และส่วนราชการเจ้าสังกัดของโรงพยาบาลพนมสารคามตามคำยินยอมให้ทำการรักษาเอกสารหมาย ล.1 จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์นั้น เห็นว่า ความยินยอมของโจทก์ที่ให้จำเลยที่ 3 ทำการรักษาดังกล่าวแม้จะเป็นการแสดงออกให้จำเลยที่      3 กระทำต่อร่างกายของโจทก์เพื่อการรักษาได้ก็ตาม แต่หากการรักษานั้นไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานแห่งวิชาชีพแพทย์ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ร่างกายของโจทก์ ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 3 อันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ดังได้วินิจฉัยมาดังกล่าวข้างต้นแล้ว จำเลยที่ 3 ก็ต้องรับผิดต่อโจทก์ โจกท์จึงฟ้องจำเลยที่ 1 อันเป็นหน่วยงานของรัฐให้รับผิดต่อโจทก์ในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ 3 ได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ได้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
          คงมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ 1 ต่อไปว่า โจทก์ควรได้รับค่าเสียหายเพียงใด เห็นว่า ค่าทนทุกข์ทรมานระหว่างเจ็บป่วย ค่าเสียสมรรถภาพในการมองเห็นและค่าเสียความสวยงามของโจทก์ดังที่คู่ความฎีกามานั้น ถือได้ว่าเป็นความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงิน ซึ่งโจทก์มีสิทธิเรียกได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446 โดยไม่จำต้องคำนึงว่าโจทก์ประกอบอาชีพด้วยหรือไม่ ได้ความตามคำเบิกความของนายวัฒนาอารีย์ แพทย์ประจำโรงพยาบาลเมืองฉะเชิงเทรา พยานจำเลยว่าอาการแพ้ยาของโจทก์อาจจึงขั้นเสียชีวิต หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที ทั้งนายสุรชัยแพทย์ประจำโรงพยาบาลเมืองฉะเชิงเทรา พยานจำเลยก็เบิกความยืนยันว่า กระจกตาดำข้างซ้ายของโจทก์เป็นเป็นแผลเปื่อยอักเสบบางลง อาจเป็นสาเหตุให้กระจกตาทะลุ ทำให้มองเห็นได้ไม่ชัด ต้องเปลี่ยนกระจกตาดำและจะกลับมามองเห็นได้ ส่วนจะกลับเป็นปกติหรือไม่นั้นอยู่กับผลการผ่าตัด ซึ่งข้อนี้นายวิรัชแพทย์ประจำโรงพยาบาลเมืองฉะเชิงเทราพยานโจทก์เองกลับเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ดวงตาของโจทก์สามารถผ่าตัดเปลี่ยนแก้วตาจะทำให้มองเห็นได้ชัดเจนตามปกติประกอบกับขณะเกิดเหตุโจทก์ตั้งครรภ์ได้ 6 เดือน ต้องใช้เวลารักษาประมาณ 3 เดือน ย่อมเป็นความทุกข์ทรมานที่โจทก์รู้สึกได้ตลอดเวลาที่อยู่ในระหว่างการรักษา ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กำหนดให้โจทก์ได้รับค่าความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินคือ ค่าทนทุกข์ทรมานระหว่างเจ็บป่วย 400,000 บาท ค่าเสียสมรรถภาพในการมองเห็น 800,000 บาท และค่าสูญเสียความสวยงามของโจทก์ 800,000 บาท รวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 2,000,000 บาท มานั้น นับว่าเหมาะสมแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาข้อนี้ของโจทก์และจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
          พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาทั้งสองฝ่ายให้เป็นพับ

( วีระวัฒน์ ปวราจารย์ - มนตรี ศรีเอี่ยมสะอาด - เฉลิมชัย ตันตยานนท์ )

(ฎีกาเหล่านี้ทีมทนายความ Thai Law Consult นำมาจากระบบสืบค้นคำพิพากษาศาลฎีกา 19-08-56)