ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร น.บ.ท.64 เรียบเรียง
ยกหูถึง "พี่ตุ๊กตา"

 

เรื่องที่ 29      ตัวอย่างคดีผู้เสียหายยื่นคำร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตาม ป.วิ.อ. 44/1 จากข้อสอบผู้ช่วยผู้พิพากษา


                    

               เมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม 2556 ญาติของผู้เสียชีวิต และผู้เสียหาย ที่เคยบาดเจ็บสาหัส จากสะพาน 200 ปี ตำบลท่าหลวง อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โทรศัพท์และ e-mail มาสอบถาม Thai Law Consult ว่า จะฟ้องคดีแพ่ง เพื่อเรียกค่าสินไหมทดแทนเอง หรือต้องคอยอัยการฟ้องคดีอาญา แล้วยื่นคำร้อง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1

              วันนี้ 28 สิงหาคม 2556 พี่ตุ๊กตา ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร เห็นว่า ทีมทนาย Thai Law Consult ควรนำเรื่อง การฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ฉบับเต็ม มานำเสนอเป็นความรู้กฎหมายสู่ประชาชน ในโอกาสต่อไป สำหรับวันนี้ พี่ตุ๊กตาขอนำตัวอย่างข้อสอบผู้ช่วยผู้พิพากษาและฎีกาที่กล่าวถึงการยื่นคำร้องตาม ป.วิ.อ. 44/1 มานำเสนอก่อนนะคะ

มีหลักกฎหมายเกี่ยวข้องดังนี้

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิ.อ.)

ผู้เสียหายยื่นคำร้องต่อศาลที่พิจารณาคดีอาญา ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตน ตามมาตรา 44/1

          ในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ ถ้าผู้เสียหายมีสิทธิที่จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพราะเหตุได้รับอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย จิตใจ หรือได้รับความเสื่อมเสียต่อเสรีภาพในร่างกายชื่อเสียง หรือได้รับความเสียหายในทางทรัพย์สินอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดของจำเลย ผู้เสียหายจะยื่นคำร้องต่อศาลที่พิจารณาคดีอาญาขอให้บังคับจำเลยให้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตนก็ได้

          การยื่นคำร้องตามวรรคหนึ่ง ผู้เสียหายต้องยื่นคำร้องก่อนเริ่มสืบพยาน ในกรณีที่ไม่มีการสืบพยานให้ยื่นคำร้องก่อนศาลวินิจฉัยชี้ขาดคดี และให้ถือว่าคำร้องดังกล่าวเป็นคำฟ้อง ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและผู้เสียหานอยู่ในฐานะโจทก์ในคดีส่วนแพ่งนั้น ทั้งนี้ คำร้องดังกล่าวต้องแสดงรายละเอียดตามสมควรเกี่ยวกับความเสียหาย และจำนวนค่าสินไหมทดแทนที่เรียกร้อง หากศาลเห็นว่าคำร้องนั้นยังขาดสาระสำคัญบางเรื่อง ศาลอาจมีคำสั่งให้ผู้ร้อง แก้ไขคำร้องให้ชัดเจนก็ได้

          คำร้องตามวรรคหนึ่ง จะมีคำขอประการอื่นที่มิใช่คำขอบังตับให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอัน เนื่องมาจากการกระทำความผิดของจำเลยในคดีอาญามิได้ และต้องไม่ขัดขืนหรือแย้งกับคำฟ้องในคดีอาญาที่พนักงงานอัยการเป็นโจทก์ และในกรณีที่พนักงงานอัยการได้ดำเนินการตามความใน มาตรา 43 แล้ว ผู้เสียหายจำยื่นคำรืองตามวรรคหนึ่งเพื่อเรียกทรัพย์สินหรือราคาทรัพย์อีกไม่ได้

 

ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 บัญญัติขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2548 เพื่อให้ผู้เสียหายมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในคดีอาญาทุกประเทศที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ต่อเนื่องไปได้ เพื่อให้การพิจารณาคดีแพ่งเป็นไปอย่างรวดเร็ว รวมทั้งยกเว้นค่าธรรมเนียมสำหรับการดำเนินคดีดังกล่าวเพื่อลดภาระให้กับผู้เสียหาย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 253

         ดังนั้น การร้องขอค่าสินไหมทดแทนในคดีของอัยการโจทก์ ผู้เสียหายได้รับการยกเว้นค่าขึ้นศาล ในขณะที่ถ้าแยกฟ้องคดีแพ่งเอง ต้องเสียค่าขึ้นศาลและค่าทนายความ

 

ตัวอย่าง ข้อสอบผู้ช่วยผู้พิพากษา สอบวันที่ 2 พฤศจิกายน 2551 ข้อ 7

นางเช้าสงสัยว่าสามีของตนติดพันหญิงอื่น จึงนำเรื่องไปปรึกษานายสายซึ่งเป็นคนรู้จักกัน นายสายยืนยันว่า สามีของนางเช้ามีความสัมพันธ์กับนางบ่ายซึ่งสามีเป็นคนญี่ปุ่น สามีของนางบ่ายเป็นผู้ค้ายาเสพติดให้โทษรายใหญ่ เจ้าพนักงานตำรวจกำลังสืบหาที่อยู่ของนางบ่ายเพื่อยึดทรัพย์สิน และจะตรวจยึดทรัพย์สินของนางเช้าด้วย นางเช้าต้องนำเงินไปให้พันตำรวจตรีเย็นเพื่อนของนายสายเพื่อฆ่าสามีนางบ่าย โดยต้องจ่ายเงิน 300,000 บาท ผ่านนายสายให้แก่พันตำรวจตรีเย็นเพื่อช่วยเหลือสามีนางเช้าให้ออกจากกระบวนการค้ายาเสพติด นางเช้าหลงเชื่อ จึงมอบเงิน 300,000 บาทให้แก่นายสาย ความจริงไม่มีข้อเท็จจริงตามที่นายสายอ้างเกิดขึ้นเลย แต่นายสายต้องการหลอกลวงนางเช้ามาตั้งแต่ต้น นางเช้าจึงไปต่อว่านายสายและทวงเงินคืน นอกจากนายสายจะไม่ยอมคืนเงินแล้ว ยังใช้ศอกตีถูกหน้าของนางเช้าจนได้รับบาดเจ็บ วันรุ่งขึ้นนางเช้าไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนและจับนายสายได้ในเดือนถัดมา แล้วส่งให้พนักงานอัยการฟ้องนายสายเป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดเชียงรายซึ่งเป็นศาลที่มีเขตอำนาจ ขอให้ลงโทษในความผิดฐานฉ้อโกงและทำร้ายร่างกายตาม ป.อ. มาตรา 341, 295, 91 และให้คืนเงิน 300,000 บาทแก่นางเช้า จำเลยให้การปฏิเสธ และต่อสู้คดีด้วยว่า นางเช้าไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานฉ้อโกง ก่อนเริ่มสืบพยาน นางเช้ายื่นคำร้องต่อศาลในคดีเดียวกันขอให้จำเลยคืนเงินที่ฉ้อโกงจำนวน 300,000 บาท และชดใช้ค่าเสียหายต่อร่างกายจำนวน 2,000 บาท ศาลมีคำสั่งให้รับคำร้องของนางเช้าไว้พิจารณา เมื่อสืบพยานเสร็จ ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์ฟ้องและนางเช้าร้องขอ
          ให้วินิจฉัยว่า
          (1)  คำสั่งของศาลจังหวัดเชียงรายที่ให้รับคำร้องของนางเช้าไว้พิจารณาชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
          (2)  ศาลจังหวัดเชียงรายจะพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง และสั่งให้จำเลยคืนเงิน 300,000 บาท พร้อมชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 2,000 บาท แก่นางเช้าได้หรือไม่

Thai Law Consult โดยพี่ตุ๊กตา โทร. 098-915-0963 นำมาจากหนังสือ คำอธิบายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ของ ศาสตราจารย์พิเศษ จุลสิงห์ วสันตสิงห์ พิมพ์ครั้งที่ 4 โดย สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา

ธงคำตอบ (ก) ในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ ผู้เสียหายมีสิทธิที่จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพราะเหตุได้รับอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย จิตใจ หรือได้รับความเสื่อมเสียต่อเสรีภาพในร่างกาย ชื่อเสียง หรือได้รับความเสียหายในทางทรัพย์สินอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดของจำเลย โดยยี่นคำร้องต่อศาลที่พิจารณาคดีอาญาขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตนได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 วรรค 1 แต่ต้องยื่นคำร้องก่อนเริ่มสืบพยาน หรือก่อนศาลวินิจฉัยชี้ขาดในกรณีที่ไม่มีการสืบพยาน ตามมาตรา 44/1 วรรค 2 นางเช้าซึ่งเป็นผู้เสียหายในข้อหาทำร้ายร่างกาย จึงมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดเชียงรายขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายที่ขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 2,000 บาท ที่ตนถูกจำเลยทำร้ายร่างกายได้ การที่ศาลจังหวัดเชียงรายมีคำสั่งรับคำร้องของผู้เสียหายที่ขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 2,000 บาท ไว้พิจารณา จึงชอบแล้ว
ส่วนคำร้องขอให้จำเลยคืนเงินที่ฉ้อโกงไปจำนวน 300,000 บาท แก่ผู้เสียหายนั้น ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 วรรค 3 ตอนท้ายบัญญัติว่า “...และในกรณีที่พนักงานอัยการได้ดำเนินการตามความในมาตรา 43 แล้ว ผู้เสียหายจะยื่นคำร้องตามวรรคหนึ่ง เพื่อเรียกทรัพย์สินหรือราคาทรัพย์สินอีกไม่ได้” ดังนั้น เมื่อพนักงานอัยการได้ขอให้จำเลยคืนเงินที่ฉ้อโกงจำนวน 300,000 บาทแล้ว นางเช้าผู้เสียหายย่อมไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้จำเลยคืนเงินส่วนนี้อีก ผู้เสียหายคงมีสิทธิร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่ร่างกายจำนวน 2,000 บาท ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 วรรค 1 เท่านั้น การที่ศาลจังหวัดเชียงรายมีคำสั่งรับคำร้องของผู้เสียหายที่ขอให้จำเลยคืนเงินที่ฉ้อโกงจำนวน 300,000 บาท ไว้พิจารณาด้วย จึงไม่ชอบ
(ข)  นางเช้าและสามีมิได้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ และทางราชการมิได้ยึดทรัพย์สินของนางเช้า การที่นางเช้ามอบเงินจำนวน 300,000 บาท แก่จำเลยสืบเนื่องมาจากการหลอกลวงของจำเลยด้วยข้อความอันเป็นเท็จ มิใช่นางเช้าหรือสามีกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษแล้ว นางเช้ามอบเงินแก่จำเลยเพื่อให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน เพื่อให้นางเช้าหรือสามีพ้นจากความผิด จึงถือไม่ได้ว่านางเช้าได้ร่วมกับจำเลยนำสินบนไปให้แก่เจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ นางเช้าย่อมเป็นผู้เสียหายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2(4) มีสิทธิที่จะร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยฐานฉ้อโกงได้ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4212/2550) เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์ฟ้องและผู้เสียหายร้องขอ ศาลจังหวัดเชียงรายจึงชอบที่จะพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง และสั่งให้จำเลยคืนเงินจำนวน 300,000 บาท พร้อมชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 2,000 บาท แก่นางเช้าผู้เสียหาย

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4212/2550


ป.วิ.อ. มาตรา 2(4)

          ส. และสามีมิได้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ และทางราชการมิได้ยึดทรัพย์สินของ ส. การที่ ส. มอบเงิน 305,000 บาท แก่จำเลย สืบเนื่องมาจากการหลอกลวงของจำเลยด้วยข้อความอันเป็นเท็จ มิใช่ ส. หรือสามีกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษแล้ว ส. มอบเงินแก่จำเลยเพื่อให้สินบนแก่เจ้าพนักงานเพื่อให้ ส. หรือสามีพ้นจากความผิด จึงถือไม่ได้ว่า ส. ได้ร่วมกับจำเลยนำสินบนไปให้แก่เจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ ส. ย่อมเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย มีสิทธิที่จะร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยฐานฉ้อโกงได้

________________________________

          โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ให้จำเลยคืนเงินจำนวน 305,000 บาทแก่ผู้เสียหาย
          จำเลยให้การปฏิเสธ
          ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 จำคุก 2 ปี ให้จำเลยคืนเงินจำนวน 305,000 แก่ผู้เสียหาย
          จำเลยอุทธรณ์
          ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน
          จำเลยฎีกา
          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยแต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายว่า นางสวนิตเป็นผู้เสียหายตามกฎหมายหรือไม่ ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวนั้น ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222 ข้อเท็จจริงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ว่า นางสวนิตสงสัยว่า สามีของตนติดพันหญิงอื่น จึงนำเรื่องปรึกษาจำเลย จำเลยยืนยันว่าสามีของนางสวนิตมีความสัมพันธ์กับนางมุกดาซึ่งมีสามีเป็นคนญี่ปุ่น สามีนางมุกดาเป็นผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ เจ้าพนักงานตำรวจกำลังสืบหาที่อยู่ของนางมุกดาเพื่อยึดทรัพย์สิน และจะตรวจยึดทรัพย์ของนางสวนิตด้วย หากนางสวนิตไม่ต้องการถูกยึดทรัพย์สิน นางสวนิตต้องนำเงินไปให้พันตำรวจตรีมานพเพื่อนของจำเลยเพื่อฆ่าสามีนางสวนิต โดยต้องจ่ายค่าจ้างเป็นเงิน 50,000 บาท หรือมอบเงิน 300,000 บาท ผ่านจำเลยให้แก่พันตำรวจตรีมานพเพื่อมอบแก่นายกรัฐมนตรีพันตำรวจโททักษิณ เพื่อช่วยเหลือสามีของตนออกจากกระบวนการค้ายาเสพติด นางสวนิตหลงเชื่อมอบเงิน 305,000 บาท (เป็นค่าบัตรโดยสารเครื่องบิน 5,000 บาท) แก่จำเลย ความจริงไม่มีข้อเท็จจริงตามที่จำเลยอ้างเกิดขึ้นจริง หากแต่จำเลยมีเจตนาทุจริตหลอกลวงนางสวนิตด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จมาแต่ต้น เห็นว่า นางสวนิตและสามีมิได้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษแล้ว และทางราชการมิได้ยึดทรัพย์ของนางสวนิต การที่นางสวนิตมอบเงิน 305,000 บาท แก่จำเลยสืบเนื่องมาจากการหลอกลวงของจำเลยด้วยข้อความอันเป็นเท็จ มิใช่นางสวนิตหรือสามีกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษนางสวนิตมอบเงินแก่จำเลยเพื่อให้สินบนแก่เจ้าพนักงานเพื่อให้นางสวนิตหรือสามีพ้นจากความผิด จึงถือไม่ได้ว่านางสวนิตได้ร่วมกับจำเลยนำสินบนไปให้แก่เจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ นางสวนิตย่อมเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย มีสิทธิที่จะร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยฐานฉ้อโกงได้ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
          พิพากษายืน

 

( เกษม วีรวงศ์ - พีรพล พิชยวัฒน์ - ฐานันท์ วรรณโกวิท )

ศาลจังหวัดเชียงราย - นางสาวกรองแก้ว ถนอมรอด
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 - นายโอภาส อนันตสมบูรณ์

 

 

 

 

 

 

(ฎีกาเหล่านี้ทีมทนายความ Thai Law Consult นำมาจากระบบสืบค้นคำพิพากษาศาลฎีกา 17-08-56)