ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร น.บ.ท.64 ผู้เรียบเรียง
ยกหูถึง "พี่ตุ๊กตา"

 

เรื่องที่ 43      ข้อสังเกตที่ 1 ครอบครองปรปักษ์ที่ดิน - พี่ตุ๊กตาขอย้ำอีกที


                    เพียง 2 สัปดาห์สุดท้ายของเดือนกรกฎาคม 2556 ทีมทนาย Thai Law Consult ได้รับอีเมล์สอบถามปัญหาการครอบครองปรปักษ์ที่ดินตาม ป.พ.พ. 1382 ถึง 15 เรื่อง ทุกเรื่องได้ตอบคำถามเบื้องต้นหลังไมค์ไปแล้ว บางเรื่องตอบช้า ต้องขอโทษด้วยนะคะ พี่ตุ๊กตาคิดว่า เพื่อลดคำถาม ควรเรียบเรียงเรื่องนี้เฉพาะจุดเน้นจากคำถามของประชาชนทั้ง 15 ราย มาลงไว้ พี่ตุ๊กตาจึงเรียบเรียงบทความนี้ขึ้นค่ะ

หลักกฎหมาย ป.พ.พ. มาตรา 1382     

               บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยสงบ และ โดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลา ห้าปี ไซร้ ท่านว่า บุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์ 

 

รายละเอียดโปรดดูในหัวข้อ แนะนำทนายความรุ่นใหม่ เรื่องที่ 8 คดีครอบครองปรปักษ์ หลักกฎหมาย และตัวอย่างดคี

 

ทบทวน

1.   สาระสำคัญ - ทรัพย์สินนั้นต้องเป็นของผู้อื่น และเมื่อเป็นทรัพย์ของผู้อื่นแล้ว ผู้ครอบครองไม่จำเป็นต้องรู้ว่าเป็นทรัพย์ของผู้อื่น (ฎีกาที่ 2315/2537)

2.   การครอบครองโดยสงบ หมายความว่า ครอบครองโดยไม่ถูกกำจัดออกไป หรือไม่ได้ฟ้องร้องกัน ถ้าเพียงแต่โต้เถียงสิทธิกัน ยังไม่ถือว่าเป็นการครอบครองโดยไม่สงบ (ฎีกา 772/2505)

3.   ถ้าต่างฝ่ายต่างอ้างเป็นเจ้าของ มีการแจ้งความกัน ถือว่า ครอบครองโดยไม่สงบ (522/2480)

4.   การครอบครองระหว่างเป็นความกัน ถือว่าเป็นการครอบครองโดยไม่สงบ

5.   การครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ หมายถึง มีการครอบครองทำประโยชน์ ใช้สอยทรัพย์นั้น เช่นเดียวกับเจ้าของกรรมสิทธิ์ มีการขัดขวางไม่ให้ผู้อื่นเข้าเกี่ยวข้อง ที่สำคัญต้องไม่เป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิหรือยอมรับอำนาจกรรมสิทธิของเจ้าของทรัพย์นั้น เช่น ผู้ที่ครอบครองแทนเจ้าของทรัพย์ เป็นการแสดงอยู่ในตัวว่า ยังยอมรับอำนาจกรรมสิทธิ์ของเจ้าของทรัพย์ (รายละเอียดกล่าวมาแล้วในเรื่องการบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะการยึดถือ) ไม่เป็นการครอบครองเพื่อตน    

 

ข้อสังเกตุที่ 1 - พี่ตุ๊กตา ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร น.บ.ท.64 โทร. 098-915-0963 numaphon@gmail.com

ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3473/2551

เมื่อมีการครอบครองปรปักษ์จนครบกำหนด 10 ปี ผู้ครอบครองย่อมได้กรรมสิทธิ์ เมื่อยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียน ผู้ครอบครองส่งมอบที่ดินนั้นให้แก่ผู้อื่น ผู้รับมอบย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นตั้งแต่ได้รับมอบที่ดิน

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3473/2551

ป.พ.พ. มาตรา 1382
ป.วิ.พ. มาตรา 288 

          ผู้ร้องอุทธรณ์และฎีกาว่าที่ดินพิพาทเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้อง มิใช่สินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลย และหนี้ตามคำพิพากษามิใช่หนี้ร่วมระหว่างจำเลยกับผู้ร้องซึ่งปัญหาดังกล่าวนี้ศาลจะต้องวินิจฉัยเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้องหรือเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลย หากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้อง กรณีก็ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าหนี้ตามคำพิพากษาเป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยกับผู้ร้องหรือไม่ เพราะแม้จะเป็นหนี้ร่วม โจทก์ก็ไม่อาจยึดที่ดินพิพาทเพื่อขายทอดตลอดชำระหนี้แก่โจทก์ได้เนื่องจากโจทก์มิได้ฟ้องผู้ร้องเป็นจำเลยด้วยการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ยกปัญหาว่าหนี้ตามคำพิพากษาเป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยกับผู้ร้องหรือไม่ขึ้นวินิจฉัยก่อนแล้วฟังข้อเท็จจริงว่าหนี้ตามคำพิพากษาเป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยกับผู้ร้อง และพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกคำร้องขอให้ปล่อยที่ดินพิพาทของผู้ร้อง โดยไม่วินิจฉัยปัญหาว่าที่ดินพิพาทเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้องหรือเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ

          การที่ จ. ได้รับยกให้ที่ดินพิพาทมาจากผู้ที่เป็นบิดามารดาและต่อมา จ. ก็ยกที่ดินพิพาทให้บุตรคือผู้ร้อง น่าเชื่อว่าหลังจาก จ. ได้รับยกให้ที่ดินพิพาทแล้ว จ. ได้ครอบครองทำประโยชน์ที่ดินพิพาทต่อจากบิดามารดาในฐานะเจ้าของจนกระทั่งยกที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้อง เมื่อ จ. ครอบครองที่ดินพิพาทโดยไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านมาเป็นเวลาประมาณ 30 ปี จ. ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 แม้จะยังมิได้มีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนจากบิดามารดามาเป็นชื่อ จ. ก็ตาม และเมื่อ จ. ยกที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องในปี 2510 ผู้ร้องก็ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตั้งแต่ได้รับการยกให้จาก จ. ที่ดินพิพาทจึงเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้องเพราะผู้ร้องได้มาก่อนจดทะเบียนสมรสกับจำเลยในปี 2519 การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ในปี 2530 จึงไม่มีผลทำให้ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้องกลายเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยแต่อย่างใด เมื่อที่ดินพิพาทเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้อง โจทก์ก็ไม่อาจบังคับคดีเอาแก่สินส่วนตัวของผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดีได้ กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าหนี้ตามคำพิพากษาเป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยกับผู้ร้องหรือไม่เพราะไม่มีผลต่อรูปคดี

 

________________________________

 

          คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์และจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยจำเลยยอมชำระเงิน 300,000 บาท แก่โจทก์ ตกลงผ่อนชำระเป็น 2 งวด หากผิดนัดยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม ต่อมาจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้บังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 20849 ตำบลไร่สะท้อน อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี เพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์

          ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ที่ดินพิพาทมิใช่ของจำเลยแต่เป็นสินส่วนตัวของผู้ร้อง ผู้ร้องได้ที่ดินพิพาทมาโดยการครอบครองปรปักษ์ มูลหนี้ตามคำพิพากษามิใช่หนี้ร่วม และผู้ร้องมิได้รู้เห็นยินยอมด้วย หนี้ดังกล่าวจึงไม่ผูกพันสินส่วนตัวของผู้ร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด

          โจทก์ยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง

          ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้อง

          ผู้ร้องอุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน

          ผู้ร้องฎีกา

          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ผู้ร้องอุทธรณ์และฎีกาว่าที่ดินพิพาทเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้อง มิใช่สินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลย และหนี้ตามคำพิพากษามิใช่หนี้ร่วมระหว่างจำเลยกับผู้ร้อง ซึ่งปัญหาดังกล่าวนี้ศาลจะต้องวินิจฉัยเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้องหรือเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลย หากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้อง กรณีก็ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าหนี้ตามคำพิพากษาเป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยกับผู้ร้องหรือไม่ เพราะแม้จะเป็นหนี้ร่วม โจทก์ก็ไม่อาจยึดที่ดินพิพาทเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ได้เนื่องจากโจทก์มิได้ฟ้องผู้ร้องเป็นจำเลยด้วย การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ยกปัญหาว่าหนี้ตามคำพิพากษาเป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยกับผู้ร้องหรือไม่ขึ้นวินิจฉัยก่อนแล้วฟังข้อเท็จจริงว่าหนี้ตามคำพิพากษาเป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยกับผู้ร้อง และพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกคำร้องขอให้ปล่อยที่ดินพิพาทของผู้ร้อง โดยไม่วินิจฉัยปัญหาว่าที่ดินพิพาทเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้องหรือเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ แต่เพื่อมิให้คดีล่าช้าศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิจารณาพิพากษาใหม่ ได้ความตามคำเบิกความของผู้ร้องประกอบเอกสารหมาย ร.1 ซึ่งโจทก์มิได้นำสืบโต้เถียงเป็นอย่างอื่นว่า เดิมที่ดินพิพาทมีชื่อนายจันและนางเจียนซึ่งเป็นปู่และย่าของผู้ร้องเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ และเมื่อประมาณ 50 ปี มาแล้วบุคคลทั้งสองได้ยกที่ดินพิพาทให้แก่นายจวงบิดาผู้ร้อง การยกให้ไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ต่อมาปี 2510 นายจวงยกที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องจึงเข้าทำนาในที่ดินพิพาทจนกระทั่งปี 2530 จึงยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ต่อศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 เห็นว่า การที่นายจวงได้รับยกให้ที่ดินพิพาทมาจากนายจันและนางเจียนผู้เป็นบิดามารดาและต่อมานายจวงก็ยกที่ดินพิพาทให้บุตรคือผู้ร้อง น่าเชื่อว่าหลังจากนายจวงได้รับยกให้ที่ดินพิพาทแล้วนายจวงได้ครอบครองทำประโยชน์ที่ดินพิพาทต่อจากนายจันและนางเจียนในฐานะเจ้าของจนกระทั่งยกที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้อง เมื่อนายจวงครอบครองที่ดินพิพาทโดยไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านมาเป็นเวลาประมาณ 30 ปี นายจวงย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แม้จะยังมิได้มีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนจากชื่อนายจันและนางเจียนมาเป็นชื่อนายจวงก็ตาม และเมื่อนายจวงยกที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องในปี 2510 ผู้ร้องก็ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตั้งแต่ได้รับการยกให้จากนายจวง ที่ดินพิพาทจึงเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้องเพราะผู้ร้องได้มาก่อนจดทะเบียนสมรสกับจำเลยในปี 2519 การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ในปี 2530 จึงไม่มีผลทำให้ที่ดินพิพาทเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้อง โจทก์ก็ไม่อาจบังคับคดีเอาแก่สินส่วนตัวของผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลนอกคดีได้ กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าหนี้ตามคำพิพากษาเป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยกับผู้ร้องหรือไม่เพราะไม่มีผลต่อรูปคดี ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น

          พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการยึดที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 20849 ตำบลไร่สะท้อน อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี ของผู้ร้อง

 

 

( วีระชาติ เอี่ยมประไพ - ประทีป เฉลิมภัทรกุล - มนูพงศ์ รุจิกัณหะ )