ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร น.บ.ท.64 ผู้เรียบเรียง
ยกหูถึง "พี่ตุ๊กตา"

 

เรื่องที่ 47      เลิกสัญญา ไม่ไปโอนคอนโด จะถูกริบเงินทั้งหมด ที่ชำระไปแล้ว หรือไม่ !!!

 


                    เมื่อ 2 อาทิตย์ที่แล้ว ก่อนวันที่สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังคปรินายก (สมเด็จญาณ วัดบวรฯ กทม.) สิ้นพระชนม์ พี่ตุ๊กตาได้เดินทางไปจังหวัดนครพนม จองตั๋วไป-กลับ nok air ล่วงหน้า 7 วัน ราคาไป-กลับ ต่ำกว่า 2,500 บาท แม้ว่าจะเป็นช่วงปิดเทอม nok air บริการได้ดีมาก เครื่องออกตรงเวลา แอร์โฮสเตส 4 คนบนเครื่อง บริการด้วยรอยยิ้ม น่ารักมาก บนเครื่องมีอาหารว่างและน้ำดื่มแจกฟรี แต่กาแฟร้อน ต้องซื้อเอง แก้วละ 30 บาท ขากลับที่สนามบิน นครพนม มีกาแฟ-อาหารเช้า ขายไม่แพง แต่อร่อย คนขายน่าตารับแขก     เมื่อพี่ตุ๊กตา ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร น.บ.ท. 64 แวะไปที่ศาลจังหวัดนครพนมช่วงเช้า เห็นช่างของผู้รับเหมากำลังปรับปรุงอาคารศาล ช่วงบ่ายแวะไปที่สำนักงานที่ดินจังหวัดนครพนม เห็นต้นสักและต้นฉ่ำฉาใหญ่ๆ อยู่หลายต้น ที่นั้นได้ยินชาวบ้านพูดกันว่า ถ้ามาที่ดินสายๆ ควรจะหาเสื่อมาปูนอนหรือนั่งใต้ต้นฉ่ำฉา เพราะอาจต้องคอยนานมาก กว่าจะเสร็จธุรกรรมทางด้านที่ดิน (ได้ยินบางคนพูดว่า มาเช้าๆ หน่อยสิ รถสกายแล็ปก็มีเยอะ ให้บริการได้ทุกที่ทุกเวลา)

                    อาจารย์ 2 ท่านของโรงเรียนปิยะมหาราชาลัย จังหวัดนครพนม ซึ่งเป็นญาติกับลูกความของพี่ตุ๊กตาในคดีที่ดิน อาจารย์ท่านแรกถามพี่ตุ๊กตาว่า "ซื้อคอนโดที่กรุงเทพฯ ให้ลูกเรียนหนังสือ แต่มีปัญหาไม่ได้ไปโอน ผู้ประกอบการคอนโดมีหนังสือเลิกสัญญา ขอริบเงินที่ชำระไปทั้งหมดแล้ว ได้หรือไม่ และจะต่อรอง หรือมีทางออกยังไง" ขณะที่อาจารย์อีกท่านบอกว่า "ซื้อที่เดียวกัน ตอนไปตรวจเพื่อจะโอนกรรมสิทธิ์ เห็นก่อสร้างไม่เรียบร้อย จึงไม่ไปโอน"

                    เมื่อพี่ตุ๊กตามาถึงกรุงเทพฯ จึงเขียนบทความนี้เป็นความรู้กฎหมายสู่ประชาชน

หลักกฎหมาย   ป.พ.พ. 369, 386 และ 391

มาตรา 369 ในสัญญาต่างตอบแทนนั้น คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งจะไม่ ยอมชำระหนี้จนกว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะชำระหนี้ หรือขอปฏิบัติการชำระ หนี้ก็ได้ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าหนี้ของคู่สัญญาอีกฝ่าย หนึ่งยังไม่ถึงกำหนด

มาตรา 386 ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเลิกสัญญาโดยข้อสัญญา หรือโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย การเลิกสัญญาเช่นนั้นย่อมทำด้วยแสดงเจตนาแก่อีกฝ่ายหนึ่ง
แสดงเจตนาดั่งกล่าวมาในวรรคก่อนนั้น ท่านว่าหาอาจจะถอนได้ไม่ 

มาตรา 391 เมื่อคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่าย จำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดั่งที่เป็นอยู่เดิมแต่ทั้งนี้จะให้เป็นที่เสื่อมเสียแก่สิทธิของบุคคลภายนอกหาได้ไม่
ส่วนเงินอันจะต้องใช้คืนในกรณีดั่งกล่าวมาในวรรคต้นนั้น ท่านให้บวกดอกเบี้ยเข้าด้วย คิดตั้งแต่เวลาที่ได้รับไว้
ส่วนที่เป็นการงานอันได้กระทำให้ และเป็นการยอมให้ใช้ทรัพย์นั้นการที่จะชดใช้คืน ท่านให้ทำได้ด้วยใช้เงินตามควรค่าแห่งการนั้น ๆ หรือถ้าในสัญญามีกำหนดว่าให้ใช้เงินตอบแทน ก็ให้ใช้ตามนั้น
การใช้สิทธิเลิกสัญญานั้น หากระทบกระทั่งถึงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายไม่ 

กรุณาเปิดดูบทความของ Thai Law Consult เรื่องเหล่านี้ประกอบด้วยนะคะ

*  ฟ้องคอนโดสร้างไม่เสร็จ ผิดสัญญาต่างตอบแทน (แนะนำทนายความรุ่นใหม่ เรื่องที่ 1)

*  มัดจำ เบี้ยปรับ (ปรึกษาคดีกับทนาย เรื่องที่ 10)

ข้อเท็จจริงของคดีนี้ (ริบ หรือ คืน)

1.   ผู้ประกอบการคอนโด หรือ "ผู้จะขาย" มีหนังสือบอกเลิกสัญญาและริบเงินทั้งหมด

2.   "ผู้จะซื้อ" หรือผู้บริโภค ให้ทนายความมีหนังสือถึงผู้ประกอบการคอนโด หรือ "ผู้จะขาย" ว่า เลิกสัญญาแต่ขอเงินทั้งหมดคืน

ตอบคำถาม พี่ตุ๊กตา , ทนายน้อย และทนายเอก ขัตติยะ นวลอนงค์ น.บ.ท. 62 ขอตอบคำถามนี้ ตาม ป.พ.พ. 391 และฎีกาที่ 5093/2541 ซึ่งเบื้องต้นมีข้อเท็จจริงตามจดหมาย 2 ฉบับ ของฝ่ายผู้จะขายและฝ่ายผู้จะซื้อ ดังนี้ (ThaiLawConsult ปรับปรุงจากจดหมายในคดีจริง ของสำนักงานทนายความสมปราถน์และเพื่อน พิบูลย์คอนโดวิลล์ อาคาร 1 ถนนกรุงเทพ-นนทบุรี 44 วงศ์สว่าง บางซื่อ กทม.)

 

เรื่อง     เลิกสัญญาและขอเงินคืน
เรียน    กรรมการผู้จัดการ บริษัท ... จำกัด
อ้างถึง   หนังสือบอกเลิกสัญญาและริบเงิน ลว. 2 กันยายน 2555

                   ตามที่ท่านมีหนังสือ ลว. 2 กันยายน 2555 ถึง คุณA “ผู้จะซื้อ” บอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดและริบเงิน ที่ท่านได้รับมาแล้วทั้งหมด จำนวน 200,000 บาท ซึ่งท่านทราบรายละเอียดอยู่แล้วนั้น
1.  ก่อนได้รับหนังสือของท่าน คุณA “ผู้จะซื้อ” ไม่ได้มีเจตนาไม่ปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขาย รวมทั้งไม่ได้มีเจตนาจะเลิกสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดกับท่าน แต่ยังมีความกังวลเรื่องทรัพย์สินส่วนกลาง และสิ่งอำนวยความสะดวก ยังไม่เรียบร้อยเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของท่าน ทำให้รู้สึกว่าไม่มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของเจ้าของห้องชุดผู้อยู่อาศัย
2.  เมื่อได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาและริบเงินของท่านแล้ว “ผู้จะซื้อ” มีความรู้สึกว่าผู้ประกอบการ กำลังเอาเปรียบผู้บริโภคเกินสมควรตาม พ.ร.บ.ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม และกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค หรือไม่
3.  เพื่อผ่อนผันให้แก่กัน โดยหนังสือฉบับนี้ ข้าพเจ้า นางสาว ณุมาพร พัฒนพงศธร ทนายความผู้รับมอบอำนาจจาก คุณA “ผู้จะซื้อ” จึงขอให้ท่านคืนเงินที่ได้รับมาแล้วทั้งหมดจำนวน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตรา 7.5% ต่อปี นับจากวันที่ได้รับ ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือฉบับนี้ ทั้งนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 391
จีงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา
ขอแสดงความนับถือ

(นางสาวณุมาพร พัฒนพงศธร)
ทนายความผู้รับมอบอำนาจ
โทร. 098-915-0963

 

ฎีกาเกี่ยวกับเรื่องนี้ พี่ตุ๊กตาเห็นว่า มีความสำคัญ และเป็นฎีกาที่สวยมาก ควรเผยแพร่ต่อไป เพื่อให้ผู้บริโภค ผู้จะซื้อคอนโด รับรู้กันอย่างแพร่หลาย จึงนำมาลงไว้ในที่นี้ค่ะ ถ้าประชาชนท่านใดมีปัญหาเกี่ยวกับการยกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายคอนโด หรือคอนโดสร้างไม่เสร็จ หรือคอนโดก่อสร้างผิดแบบ จนมีความทุกข์ใจ อยากหาทนายความช่วยดูแลเรื่อง ให้คำปรึกษา อีเมล์มานะคะ (numaphon@gmail.com)

 

คำพิพากศาลฎีกาที่ 5093/2541

ป.พ.พ. มาตรา 193/12, 386
ป.วิ.พ. มาตรา 84, 173 วรรคสอง, 177 

          โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่าจำเลยมีหนังสือให้โจทก์ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดตามสัญญาจะซื้อจะขาย โจทก์ไปตรวจสอบสภาพการก่อสร้างตามโครงการแล้ว ปรากฏว่าจำเลยยังไม่ได้สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกตามที่โฆษณาไว้กล่าวคือ ยังไม่ได้ติดตั้งโทรศัพท์สายตรงที่ห้องชุด ระบบโทรทัศน์วงจรปิดเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรอง และสระว่ายน้ำ โจทก์ให้จำเลยดำเนินการจัดสร้างให้ครบถ้วนโดยเร็ว แต่จำเลยเพิกเฉยถือว่าจำเลยผิดสัญญา โจทก์จึงให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญา จำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธข้อกล่าวอ้างของโจทก์ดังกล่าว ถือได้ว่าจำเลยรับในข้อเท็จจริงว่า จำเลยไม่ได้สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกที่ได้โฆษณาไว้ตามฟ้องโจทก์ซึ่งเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสอง การที่จำเลยมีหนังสือให้โจทก์ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดพร้อมทั้งชำระราคาส่วนที่เหลือตามสัญญาในขณะที่จำเลยยังไม่อยู่ในฐานะที่จะเรียกโจทก์มารับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดตามสัญญา โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะปฏิเสธไม่รับโอนกรรมสิทธิ์ในห้องชุดตามที่จำเลยเสนอและไม่ชำระราคาส่วนที่เหลือได้ โจทก์จึงไม่ใช่เป็นฝ่ายผิดสัญญา เมื่อโจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยดำเนินการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกตามที่โฆษณาให้แล้วเสร็จก่อน แล้วโจทก์พร้อมที่จะรับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดพร้อมชำระราคาส่วนที่เหลือตามสัญญาแต่ระยะเวลาผ่านไปนานถึง 2 ปี จำเลยก็มิได้ดำเนินการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้ครบถ้วนตามที่โฆษณาไว้ ถือได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ชอบที่จะบอกเลิกสัญญาได้และคู่สัญญาต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม จำเลยจึงต้องคืนเงินมัดจำและเงินที่โจทก์ผ่อนชำระแก่จำเลยไว้พร้อมดอกเบี้ย ทั้งนี้เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 369,387 และ 391 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่จะเรียกเงินมัดจำและเงินที่ผ่อนชำระคืนเกิดขึ้นเมื่อได้บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยคือวันอันเป็นวันที่จำเลยรับหนังสือบอกเลิกสัญญาจากโจทก์ อายุความจึงเริ่มนับแต่วันดังกล่าวซึ่งเป็นวันที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ในอาคารชุดของจำเลยให้แก่บริษัท ส. โดยกล่าวอ้างว่าจำเลยโอนอาคารชุดของจำเลยให้แก่บริษัท ส. ทำให้จำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นใดเหลืออยู่พอที่จะชำระหนี้แก่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ในอันที่จะบังคับให้จำเลยชำระหนี้เงินมัดจำและเงินผ่อนชำระคืนแก่โจทก์ แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เงินมัดจำและเงินผ่อนชำระคืนแก่โจทก์จึงเป็นกรณีคนละเรื่องกัน แม้โจทก์ฟ้องคดีทั้งสองสำนวนโดยอาศัยมูลคดีที่โจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยผิดสัญญาจะซื้อจะขายอาคารชุดและโจทก์บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยแล้วอย่างเดียวกัน แต่คดีก่อนโจทก์ยังต้องนำสืบให้เห็นว่าจำเลยโอนอาคารชุดให้แก่ผู้อื่นทำให้จำเลยไม่มีทรัพย์อื่นเหลือพอที่จะชำระหนี้แก่โจทก์ ทำให้โจทก์เสียเปรียบไม่อาจบังคับจำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ได้ อันเป็นข้อสำคัญในคดีที่แตกต่างไปจากคดีนี้ คดีทั้งสองสำนวนของโจทก์จึงไม่ เป็นการฟ้องซ้อน 

________________________________

          โจทก์ฟ้องว่า จำเลยออกประกาศโฆษณาขายห้องชุดแก่ประชาชนทั่วไปว่า จำเลยเป็นผู้ก่อสร้างห้องชุดโครงการอาเซี่ยนเทาเวอร์สุขุมวิท 71 ผู้ซื้อ จะได้กรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินอันเป็นที่ตั้งของอาคารและโครงการจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆโทรศัพท์สายตรง สระว่ายน้ำ เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2526 โจทก์ได้ทำสัญญาจะซื้อห้องชุดโครงการดังกล่าวของจำเลยจำนวน 3 ห้องชุดโจทก์วางเงินมัดจำในวันทำสัญญา 30,000 บาท และได้ผ่อนชำระอีก520,000 บาท รวมเป็น 550,000 บาท จำเลยสร้างอาคารโครงการไปได้ระยะหนึ่งก็มีหนังสือให้โจทก์ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ในห้องชุดโจทก์ตรวจดูแล้วปรากฏว่าจำเลยมิได้ทำตามสัญญาและตามที่โฆษณาไว้โจทก์จึงบอกเลิกสัญญา ให้จำเลยคืนเงินมัดจำและเงินที่ผ่อนชำระให้จำเลยไปแล้ว พร้อมดอกเบี้ย แต่จำเลยเพิกเฉย โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตั้งแต่วันบอกกล่าวถึงวันฟ้องเป็นเงิน336,893.83 บาท รวมทั้งสิ้น 886,893.83 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 886,893.83 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงิน 550,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

          จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่สามารถหากเงินชำระค่าโอนให้แก่จำเลยได้ โจทก์จึงไม่ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ภายในเวลาที่จำเลยกำหนดโจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ฟ้องคดีนี้ซ้อนกับคดีหมายเลขแดงที่ 23586/2534 ของศาลแพ่ง ทั้งฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง

          ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนเงิน 886,893.83 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 550,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

          จำเลยอุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

          จำเลยฎีกา

          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยผิดสัญญาหรือไม่ โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่าจำเลยมีหนังสือให้โจทก์ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดตามสัญญาจะซื้อจะขาย โจทก์ไปตรวจสอบสภาพการก่อสร้างตามโครงการแล้ว ปรากฏว่าจำเลยยังไม่ได้สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกตามที่โฆษณาไว้กล่าวคือ ยังไม่ได้ติดตั้งโทรศัพท์สายตรงที่ห้องชุด ระบบโทรทัศน์วงจรปิด เครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรอง และสระว่ายน้ำ โจทก์ให้จำเลยดำเนินการจัดสร้างให้ครบถ้วนโดยเร็ว แต่จำเลยเพิกเฉย ถือว่าจำเลยผิดสัญญาโจทก์จึงให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญา จำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธข้อกล่าวอ้างของโจทก์ดังกล่าว ถือได้ว่าจำเลยรับในข้อเท็จจริงว่า จำเลยไม่ได้สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกที่ได้โฆษณาไว้ตามฟ้องโจทก์ซึ่งเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง คดีจึงฟังได้ว่า การที่จำเลยมีหนังสือให้โจทก์ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดพร้อมทั้งชำระราคาส่วนที่เหลือตามสัญญานั้น จำเลยจึงยังไม่อยู่ในฐานะที่จะเรียกโจทก์มารับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดตามสัญญา โจทก์จึงมีสิทธิที่จะปฏิเสธไม่รับโอนกรรมสิทธิ์ในห้องชุดตามที่จำเลยเสนอและไม่ชำระราคาส่วนที่เหลือได้ โจทก์จึงไม่ใช่เป็นฝ่ายผิดสัญญาตามที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้เมื่อโจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยดำเนินการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกตามที่โฆษณาให้แล้วเสร็จก่อน แล้วโจทก์พร้อมที่จะรับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดพร้อมชำระราคาส่วนที่เหลือตามสัญญาแต่ระยะเวลาผ่านไปนานถึง 2 ปี จำเลยก็มิได้ดำเนินการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้ครบถ้วนตามที่โฆษณาไว้ ถือได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ชอบที่จะบอกเลิกสัญญาได้ เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้วคู่สัญญาต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม จำเลยจึงต้องคืนเงินมัดจำและเงินที่โจทก์ผ่อนชำระแก่จำเลยไว้พร้อมดอกเบี้ยตามฟ้อง ทั้งนี้เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 369, 387 และ 391 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง

          ปัญหาประการที่สองมีว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ 10 ปีหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า สิทธิเรียกร้องของโจทก์ต้องเริ่มนับแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2528 โจทก์ฟ้องคดีเมื่อเดือนเมษายน 2538คดีโจทก์จึงขาดอายุความ เห็นว่าสิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่จะเรียกเงินมัดจำและเงินที่ผ่อนชำระคืนเกิดขึ้นเมื่อได้บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2530 อันเป็นวันที่จำเลยรับหนังสือบอกเลิกสัญญาจากโจทก์ อายุความจึงเริ่มนับแต่วันดังกล่าวซึ่งเป็นวันที่โจทก์อาจบังคับตามสิทธิเรียกร้องได้ คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ 10 ปี

          ปัญหาประการสุดท้ายมีว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้ซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 23586/2534 ของศาลแพ่งหรือไม่ เห็นว่า คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 23586/2534 โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ในอาคารชุดของจำเลยให้แก่บริษัทสุดวิมล จำกัดโดยโจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยโอนอาคารชุดของจำเลยให้แก่บริษัทสุดวิมล จำกัด ทำให้จำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นใดเหลืออยู่พอที่จะชำระหนี้แก่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ในอันที่จะบังคับให้จำเลยชำระหนี้เงินมัดจำและเงินผ่อนชำระคืนแก่โจทก์ แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เงินมัดจำและเงินผ่อนชำระคืนแก่โจทก์ จึงเป็นกรณีคนละเรื่องกัน แม้โจทก์ฟ้องคดีทั้งสองสำนวนโดยอาศัยมูลคดีที่โจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยผิดสัญญาจะซื้อขายอาคารชุดและโจทก์บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยแล้วอย่างเดียวกัน แต่คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 23586/2534 จำเลยโอนอาคารชุดให้แก่ผู้อื่นทำให้จำเลยไม่มีทรัพย์อื่นเหลือพอที่จะชำระหนี้แก่โจทก์ ทำให้โจทก์เสียเปรียบไม่อาจบังคับจำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ได้ อันเป็นข้อสำคัญในคดีที่แตกต่างไปจากคดีนี้คดีทั้งสองสำนวนของโจทก์จึงไม่เป็นการฟ้องซ้อน

          พิพากษายืน 

( วิชิน สุขนทีธรรม - สมมาตร พรหมานุกูล - ไพศาล เจริญวุฒิ )

 

สรุป - พี่ตุ๊กตาขอฟันธงคดีนี้ว่า ศาลจะสั่งคืนเงินทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี และคาดว่าคดีจะเสร็จในชั้นไกล่เกลี่ย       และ ตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ประกอบการ อาจต่อรองว่าตนได้รับความเสียหายตาม ป.พ.พ. 391 วรรคท้าย ซึ่งต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงว่า ตอนนี้คอนโดนี้ ราคาขายต่อ สูงกว่า หรือต่ำกว่า ราคาตอนจอง หรือไม่อย่างไร ถ้าราคาขายต่อ สูงกว่าราคาจอง ก็เรียกค่าเสียหายจากผู้บริโภค หรือผู้จะซื้อ ไม่ได้นะคะ