ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร น.บ.ท.64 ผู้เรียบเรียง
ยกหูถึง "พี่ตุ๊กตา"
เรื่องที่ 48 รถยนต์ของลูกบ้าน ไม่มีสติ๊กเกอร์ หายจากคอนโด ใครต้องรับผิดชอบ ฎีกาที่ 5259/2551
ช่วงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2556 ม็อบ พบกันสามเสน ของ ส.ส. ประชาธิปัตย์ ยกระดับจากสถานีรถไฟสามเสน เป็นอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย การชุมนุมช่วงเย็น มีมวลชนร่วมด้วยจำนวนมาก จนรัฐบาลยิ่งลักษณ์หวั่นไหว ต้องหาทางถอย พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับสุดซอย ก่อนที่ม็อบจะขยายเป็นม็อบต่อต้านรัฐบาล ทีมทนาย Thai Law Consult บางคน บอกว่า ทักษิณ เดินเกมผิดนิดเดียว อาจพลาดไปทั้งกระดาน
วันนี้ พี่ตุ๊กตา ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร ได้รับอีเมล์ จากกรรมการนิติฯ ของคอนโดหรูแห่งหนึ่งว่า ลูกบ้านที่ไม่ชำระค่าส่วนกลางท่านหนึ่ง เตรียมฟ้องนิติฯ ว่า รถยนต์ที่ไม่มีสติ๊กเกอร์ หายในคอนโด นิติฯต้องรับผิดชอบด้วย จะมีทางออกเรื่องนี้อย่างไร พี่ตุ๊กตาได้รับอีเมล์แล้ว แปลกใจว่า ทำไมมีรถ BMW ใหม่ๆ ขี่ ถึงไม่ทำประกันภัยไว้ด้วย จึงนำฎีกาที่ 5259/2551 มาลงไว้ โดยขออธิบายเพิ่มเติมดังนี้
จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล คอนโดหรู
จำเลยที่ 2 เป็นบริษัทบริหารอาคาร และเป็นผู้จัดการนิติบุคคลตามกฎหมาย
จำเลยที่ 3 เป็นบริษัทรักษาความปลอดภัย
จำเลยที่ 4 เป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย
ข้อเท็จจริงในคดีนี้ ใกล้เคียงกับฎีกานี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5259/2551
ป.พ.พ. มาตรา 420
รถยนต์ของโจทก์ไม่มีบัตรติดรถยนต์ผ่านเข้าออกอาคารชุดติดหน้ากระจกรถยนต์ตามระเบียบของนิติบุคคลอาคารชุดจำเลยที่ 1 พนักงานรักษาความปลอดภัยจะต้องดำเนินการแลกบัตรหรือให้แจ้งชื่อ ที่อยู่ของผู้ขับรถยนต์ที่จะผ่านเข้าออกอาคารชุด คืนเกิดเหตุจำเลยที่ 4 ทำหน้าที่เป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยบริเวณป้อมยามของทางเข้าออกอาคารชุดเห็นแล้วว่ารถยนต์ของโจทก์ไม่มีบัตรติดรถยนต์ผ่านเข้าออกอาคารชุด มิได้เรียกให้หยุดรถเพื่อแลกบัตรหรือให้ผู้ขับรถยนต์แจ้งชื่อ ที่อยู่ตามระเบียบ กลับปล่อยให้รถยนต์ของโจทก์แล่นผ่านออกไปอันเป็นเหตุให้รถยนต์สูญหาย เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่โดยบกพร่องของจำเลยที่ 4เป็นการประมาทเลินเล่อกระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นนายจ้างต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 4
________________________________
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของห้องชุดในอาคารชุดเซ็นทรัล ซิตี้ นอธ-เซาท และเป็นเจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียน 9 อ-1867 กรุงเทพมหานคร ขณะเกิดเหตุมีราคา 800,000 บาท จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลอาคารชุดตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ.2522 มีหน้าที่ดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุดดังกล่าว จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด และเป็นผู้จัดการจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการรักษาความปลอดภัยและรับจ้างจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 มีหน้าที่จัดพนักงานรักษาความปลอดภัยมาดูแลรักษาความปลอดภัยตลอดจนควบคุมดูแลการนำรถยนต์เข้าจอดในอาคารชุดดังกล่าว เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2540 เวลาประมาณ 20 นาฬิกา ถึงเช้าวันที่ 7 เมษายน 2540 มีคนร้ายเข้าไปลักรถยนต์ของโจทก์คันดังกล่าว ซึ่งจอดอยู่ในอาคารชุดดังกล่าวไปโดยคนร้ายได้ขับรถผ่านป้อมยามทางเข้าออกของอาคารซึ่งมีจำเลยที่ 4 ลูกจ้างของจำเลยที่ 3 กำลังปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่ แต่จำเลยที่ 4 เห็นบุคคลภายนอกขับรถยนต์ของโจทก์แล้วมิได้เรียกให้หยุดเพื่อตรวจสอบผู้ขับหรือสอบถามเหตุผลในการเข้าออกจากอาคารชุดดังกล่าวตามหน้าที่ เป็นเหตุให้คนร้ายสามารถลักรถยนต์ของโจทก์ไปได้ การกระทำของจำเลยที่ 4 จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 3 ในฐานะนายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นลูกจ้างและกระทำไปในทางการที่จ้างส่วนจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต้องร่วมกันรับผิดในฐานะผู้ว่าจ้างจำเลยที่ 3 ขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินจำนวน 800,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 7 เมษายน 2540 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน60,000 บาท
จำเลยทั้งสี่ให้การทำนองเดียวกันว่า จำเลยทั้งสี่มีหน้าที่ดูแลทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุดเซ็นทรัล ซิตี้ นอธ-เซาท เท่านั้น ไม่มีหน้าที่ดูแลรักษารถยนต์ของโจทก์ซึ่งเป็นทรัพย์สินส่วนตัว จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นผู้ว่าจ้างจำเลยที่ 3 ผู้ว่าจ้างคือจำเลยที่ 2 แต่การที่จำเลยที่ 2 ทำสัญญาจ้างจำเลยที่ 3 เป็นสัญญาจ้างทำของซึ่งผู้ว่าจ้างไม่ต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดซึ่งผู้รับจ้างหรือลูกจ้างของผู้รับจ้างกระทำไปนอกจากนี้จำเลยที่ 4 ไม่มีหน้าที่เรียกผู้ขับรถยนต์ที่เข้าออกอาคารชุดดังกล่าวให้หยุดเพื่อตรวจสอบ โจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียน ๙ อ-1867 กรุงเทพมหานคร และรถยนต์ของโจทก์ไม่ได้สูญหาย ทั้งมีราคาไม่เกิน 50,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างการพิจารณา โจทก์ถึงแก่กรรม นางสุมลรัตน์ภริยาโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 350,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 2540 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์และให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 8,000 บาท ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 3 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 10,000 บาท
จำเลยที่ 3 และที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับกันฟังได้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียน 9 อ-1867 กรุงเทพมหานคร และห้องชุดในอาคารชุดเซ็นทรัล ซิตี้ นอธ-เซาท เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2540 เวลา 20.30 นาฬิกา จำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยบริเวณทางรถแล่นผ่านเข้าออกอาคารชุดดังกล่าวเห็นรถยนต์ของโจทก์แล่นออกจากที่จอดรถอาคารชุดดังกล่าว มีคนนั่งมาด้านหน้าข้างคนขับอีก 1 คน แต่เห็นหน้าไม่ชัดเจนและเห็นว่าเป็นรถยนต์ของผู้ที่พักในอาคารชุด จึงมิได้เรียกหยุดตรวจรถยนต์คันดังกล่าวหยุดรับชายอีกสองคนบริเวณสวนหย่อมแล้วแล่นออกไป วันรุ่งขึ้นนายภานุวัฒน์บุตรโจทก์ทราบว่ารถยนต์คันดังกล่าวหายไปจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์
จำเลยที่ 3 และที่ 4 ฎีกาประการแรกโดยอ้างข้อตกลงยกเว้นความรับผิดที่ทำขึ้นกับจำเลยที่ 1 ตามสัญญาว่าจ้างรักษาความปลอกภัยเอกสารหมาย ล.1 มาปฏิเสธว่าไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์นั้น เห็นว่า ตามคำให้การของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ให้การแต่เพียงว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 มีหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยเฉพาะทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุดเท่านั้น ไม่ได้มีหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยในทรัพย์สินส่วนตัวของผู้พักอาศัยในอาคาร จำเลยที่ 3 และที่ 4 มิได้ให้การว่า ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ เพราะมีข้อตกลงยกเว้นความรับผิดที่ทำไว้กับจำเลยที่ 1 ตามสัญญาว่าจ้างรักษาความปลอดภัยเอกสารหมาย ล.1 ดังนั้นที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 อ้างในฎีกาว่า ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เนื่องจากมีข้อตกลงยกเว้นความรับผิดตามสัญญาว่าจ้างรักษาความปลอดภัยเอกสารหมาย ล.1 จึงนอกเหนือจากคำให้การและเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
ปัญหาข้อต่อไปว่า รถยนต์ของโจทก์มีบัตรติดรถยนต์ผ่านเข้าออกอาคารชุดติดหน้ากระจกรถยนต์หรือไม่ โจทก์มีนายภานุวัฒน์บุตรโจทก์เบิกความว่า โจทก์มีรถยนต์ 2 คัน และนำบัตรติดรถยนต์ไปติดไว้ที่รถยนต์อีกคัน นายภานุวัฒน์ขับรถยนต์ของโจทก์คันที่สูญหายเข้าออกอาคารชุดไม่ต้องแลกบัตร เนื่องจากพนักงานรักษาความปลอดภัยจำนายภานุวัฒน์ได้ว่าพักอาศัยอยู่ในอาคารชุดแม้จำเลยที่ 3 และที่ 4 มีนายทวีวัฒน์กรรมการจำเลยที่ 3 และนายนครกรรมการจำเลยที่ 2 และที่ 3 เบิกความว่ารถยนต์ของโจทก์มีบัตรติดรถยนต์ติดหน้ากระจก แต่เป็นเพียงการคาดคะเนเอาว่ารถยนต์ที่แล่นผ่านเข้าออก หากไม่มีบัตรติดรถยนต์ พนักงานรักษาความปลอดภัยจะลงบันทึกไว้ สำหรับรถยนต์ของโจทก์ไม่มีการบันทึก คำเบิกความของพยานทั้งสองปากมิได้รู้เห็นโดยตรงว่ารถยนต์ของโจทก์มีบัตรติดรถยนต์ผ่านเข้าออกอาคารชุดติดหน้ากระจกรถยนต์หรือไม่ ทั้งที่มีจำเลยที่ 4 และนายทองแดงพนักงานรักษาความปลอดภัยเป็นประจักษ์พยานขณะเกิดเหตุโดยตรงแต่จำเลยที่ 3 และที่ 4 กลับไม่นำมาเบิกความเป็นพยาน ประกอบกับจำเลยที่ 4 ได้ให้การไว้ว่าวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 20.30 นาฬิกา จำเลยที่ 4 เห็นรถยนต์ยี่ห้อฮอนด้าแล่นมาที่ป้อมยามทางเข้าออกอาคารชุดจำได้ว่าเป็นรถยนต์ของผู้ที่พักอาศัยในอาคารชุด จึงอนุญาตให้ผ่านออกไป การที่จำเลยที่ 4 ให้การดังกล่าวแสดงว่าจำเลยที่ 4 ไม่เห็นว่ารถยนต์ของโจทก์มีบัตรติดรถยนต์ผ่านเข้าออก เพียงแต่จำได้ว่าเป็นรถยนต์ของผู้ที่พักอาศัยเท่านั้น เป็นการสอดคล้องกับคำเบิกความของนายภานุวัฒน์ทำให้พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ข้อเท็จจริงฟังได้ว่ารถยนต์ของโจทก์ไม่มีบัตรติดรถยนต์ผ่านเข้าออกอาคารชุดติดหน้ากระจกรถยนต์ ฎีกาของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาข้อต่อไปว่า จำเลยที่ 4 กระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่า เมื่อรถยนต์ของโจทก์ไม่มีบัตรติดรถยนต์ผ่านเข้าออกอาคารชุดติดหน้ากระจกรถยนต์ตามระเบียบการผ่านเข้าออกของจำเลยที่ 1 พนักงานรักษาความปลอดภัยจะต้องดำเนินการแลกบัตรหรือให้แจ้งชื่อ ที่อยู่ของผู้ขับรถยนต์ที่จะผ่านเข้าออกอาคารชุดตามคู่มือระเบียบและข้อบังคับของจำเลยที่ 1 เอกสารหมาย จ.6 หน้า 83 แต่คืนเกิดเหตุจำเลยที่ 4 ทำหน้าที่เป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยบริเวณป้อมยามของทางเข้าออกอาคารชุดเห็นแล้วว่ารถยนต์ของโจทก์ไม่มีบัตรติดรถยนต์ผ่านเข้าออกอาคารชุด มิได้เรียกให้หยุดรถเพื่อแลกบัตรหรือให้ผู้ขับรถยนต์แจ้งชื่อ ที่อยู่ตามระเบียบดังกล่าว กลับปล่อยให้รถยนต์ที่เป็นของโจทก์แล่นผ่านออกไปอันเป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์สูญหาย เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่โดยบกพร่องของจำเลยที่ 4 เป็นประมาทเลินเล่อกระทำละเมิดต่อโจทก์ ฎีกาของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 5,000 บาท
( มนูพงศ์ รุจิกัณหะ - ประทีป เฉลิมภัทรกุล - วีระชาติ เอี่ยมประไพ )
หมายเหตุ พี่ตุ๊กตา จากฎีกาข้างต้นนี้ พี่ตุ๊กตามีข้อเสนอแนะดังนี้:
1. ถ้านิติบุคคล ต้องจ้างบริษัท ร.ป.ภ. ต้องมั่นใจว่า บริษัท ร.ป.ภ. มีการเอาประกันภัย รับผิดชอบ ชดใช้สินไหมทดแทนแล้ว
2. นิติบุคคลต้องให้ความรู้แก่ลูกบ้านว่า ไม่ใช่ความรับผิดชอบของนิติฯ ถ้ารถหาย ในคอนโด
3. จาก 2. ลูกบ้านต้องทำประกันภัยรถยนต์ของตนเอง และเมื่อรถหาย ไม่ต้องโทษนิติ
4. บริษัท ร.ป.ภ. ต้องเข้าใจว่า มีฎีกามากมาย ที่วางหลักว่า รถยนต์หายภายในอาคาร ที่ ร.ป.ภ. ดูแล บริษัท ร.ป.ภ. ต้องรับผิดชอบ
ถ้าประชาชนท่านใด หรือนิติบุคคลใด มีปัญหาทำนองนี้ และกำลังหาที่ปรึกษา ทีมทนาย Thai Law Consult ยินดีให้คำปรึกษา อีเมล์มาหาพี่ตุ๊กตานะคะ numaphon@gmail.com โทร. 098-915-0963
ThaiLawConsult นำฎีกานี้ มาจากระบบสืบค้นคำพิพากษาศาลฎีกา วันที่ 6-11-2556

