ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร น.บ.ท.64 ผู้เรียบเรียง
ยกหูถึง "พี่ตุ๊กตา"

 

เรื่องที่ 50       ขาดอายุความ ฟ้องละเมิด 1 ปีแล้ว
จะฟ้องตามสัญญารับผิดชอบซ่อมแซม/ชดเชยตามข้อเท็จจริง ได้หรือไม่


                    

วันที่ 8 พฤศจิกายน 2556 ช่วงเย็น จนถึง 3 ทุ่ม อิทธิพลของซุปเปอร์ไต้ฝุ่น พัดถล่มฟิลิปปินส์ ฝนจึงตกในกรุงเทพฯ ทีวีรายงานข่าวว่า พี่น้องเสื้อแดง รวมพลมุ่งสู่กรุงเทพฯ ให้กำลังใจรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ในขณะที่ เวที ม็อบ ส.ส.ประชาธิปัตย์ ต่อต้าน พ.ร.บ. นิรโทษกรรม ฉบับสุดซอย ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มีประชาชนหลากหลายอาชีพ มาร่วมชุมนุมกันคับคั่ง

วันนี้ วุฒิสภา ที่มี นายนิคม ไวยรัชพานิช นัดประชุมวาระพิเศษ ก่อนนัดหมายปกติ เพื่อจะคว่ำร่าง พ.ร.บ. ฉบับสุดซอย ในชั้นวุฒิสภา เพื่อเอาใจม็อบประชาธิปัตย์ และกระแสกดดันจากสังคม

วันนี้ พี่ตุ๊กตา เขียนบทความนี้ เพื่อตอบคำถามทางอีเมล์ ของกรรมการนิติบุคคล หมู่บ้านจัดสรร แห่งหนึ่ง แถวบางนา ซึ่งมีปัญหาดังนี้

1.   นิติบุคคล หมู่บ้านจัดสรร ของหนู มีสมาชิกไม่ถึง 300 หลัง ก่อตั้งมาไม่ถึง 10 ปี

2.   กลางปีที่แล้ว บริษัทอสังหารายใหญ่ ในตลาดหลักทรัพย์ เริ่มก่อสร้างหมู่บ้านจัดสรร แบบหรูๆ ราคาสูงๆ ในที่ดินที่ติดกับ หมู่บ้านจัดสรรของหนู

3.   เขาตอกเสาเข็ม เขาให้รถบรรทุก 10 ล้อ วิ่งขนดิน และหิน เข้ามาในพื้นที่ก่อสร้าง ทั้งวันทั้งคืน

4.   เขาถมดิน สูงกว่าระดับพื้นดินของหมู่บ้านหนู 1 เมตร เพื่อไม่ให้น้ำท่วม

5.   บ้านทาวน์เฮ้าส์ ในหมู่บ้านจัดสรรของหนู ที่อยู่ติดกับริมกำแพง ของหมู่บ้านจัดสรรแบบหรูๆ กระทบกระเทือน จากการก่อสร้าง ทำให้บ้านร้าว แทบทุกหลัง มีความเสียหาย

6.   เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2555 หนูและคณะกรรมการหมู่บ้านของหนู ได้เจรจา เรียกร้องความรับผิดชอบจากเจ้าของหมู่บ้านจัดสรรหรูๆ (หนูขอเรียกว่า "บริษัทหรู" แล้วกันค่ะ) รับผิดชอบความเสียหาย

7.   เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2556 วิศวกร และผู้จัดการโครงการ ของบริษัทหรู ได้ทำหนังสือ ร่วมกับ กรรมการนิติฯของหนู เรื่อง "แผนงานแก้ไขปัญหาเรื่องบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างและงานรั้วกำแพง" มีข้อความดังนี้

ข้อ 1.   ทางบริษัทหรู จะดำเนินการแก้ไขและซ่อมแซมกำแพงของหมู่บ้านหนู ในจุดที่มีปัญหาให้กลับคืนสู่สภาพเดิม

ข้อ 2.   ทางบริษัทหรู จะเข้ามาประเมินความเสียหายของบ้านแต่ละหลัง ที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้าง พร้อมรับผิดชอบต่อการซ่อมแซม / ชดเชยตามข้อเท็จจริง

ทั้งสองฝ่ายได้ลงลายมือชื่อร่วมกัน

 

มีปัญหาดังนี้ - จนถึงทุกวันนี้ หมู่บ้านหรูยังไม่ได้ดำเนินการซ่อมแซมให้เข้าสู่สภาพเดิมเลย หรือรับผิดชอบชดเชยตามข้อเท็จจริง ลูกบ้านที่ได้รับความเสียหาย สอบถามหนูหลายครั้ง หนูได้แต่โทรสอบถามผู้จัดการโครงการ บริษัทหรู ได้คำตอบว่า ติดที่ผู้ใหญ่

ขอถามพี่ตุ๊กตาดังนี้

1.   จะเรียกร้องอย่างไรดีคะ

2.   อายุความคดีละเมิด เป็นอย่างไรคะ และขาดอายุความหรือยัง

3.   มีทางออกของปัญหา โดยไม่ต้องฟ้องคดีอย่างไรคะ

 

หลักกฎหมาย ป.พ.พ.

มาตรา 420 ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่น โดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่า ผู้นั้นทำละเมิด จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

มาตรา 448 สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดนั้น ท่านว่าขาดอายุความเมื่อพ้นปีหนึ่งนับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการ ละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือเมื่อพ้นสิบปีนับ แต่วันทำละเมิด
แต่ถ้าเรียกร้องค่าเสียหายในมูลอันเป็นความผิด มีโทษตามกฎหมาย ลักษณะอาญา และมีกำหนดอายุความทางอาญายาวกว่าที่กล่าวมา นั้นไซร้ ท่านให้เอาอายุความที่ยาวกว่านั้นมาบังคับ

 

ทีมทนาย Thai Law Consult ขออธิบายเพิ่มเติม เรื่องละเมิด ดังนี้

1.   หลักกฎหมาย เปิดดูเพิ่มเติมใน ทนายจำเลยต่อสู้คดีตามแนวฎีกากันอย่างไร เรื่องที่ 6 ละเมิด - หลักกฎหมาย และ ฎีกา ฟ้องแพทย์ 2 คดีดัง

2.   ทนายน้อย ปราธูป ศรีกลับ ขออธิบายเพิ่มเติมดังนี้ -

  • อายุความตาม ป.พ.พ. 448 วรรค 1 ใช้บังคับเฉพาะกรณี เรียกค่าเสียหายจากการละเมิดเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เรื่องฟ้องเรียกค่าเสียหายแล้ว ก็ไม่อยู่ในอายุความดังกล่าว (ฎีกาที่ 1142/2541)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1142/2541

ป.พ.พ. มาตรา 448, 1336
ป.วิ.พ. มาตรา 55, 249
ป.ที่ดิน มาตรา 60 วรรคหนึ่ง
พ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511 มาตรา 6, 14

          อายุความ 1 ปี เกี่ยวกับการละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่งใช้บังคับเฉพาะกรณีผู้ต้องเสียหายฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดแต่คดีนี้โจทก์มิได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิด หากแต่เป็นการฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ดำเนินการรังวัดทำแผนที่เพื่อออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ ฉะนั้นตราบใดที่จำเลยที่ 1 ยังไม่ดำเนินการให้โจทก์โดยปราศจากข้ออ้างตามกฎหมายโจทก์ย่อมฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ดำเนินการตามคำขอของโจทก์ได้เพราะสิทธิฟ้องร้องของโจทก์ย่อมมีอยู่ตลอดไปตราบเท่าที่จำเลยที่ 1 ยังไม่ดำเนินการรังวัดทำแผนที่เพื่อออกโฉนดที่ดินพิพาทให้โจทก์ คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของโจทก์ไม่ใช่ที่ดินของรัฐรัฐย่อมไม่มีอำนาจนำไปจัดตั้งเป็นนิคมตาม พระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 มาตรา 6หรือให้กรมส่งเสริมสหกรณ์จำเลยที่ 5 มีอำนาจปฏิบัติการเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์สำหรับบำรุงส่งเสริมกิจกรรมและการจัดทำสิ่งก่อสร้างอันเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมของนิคมตามมาตรา 14 ได้การที่เจ้าพนักงานที่ดินจำเลยที่ 1 อ้างว่าไม่สามารถดำเนินการรังวัดออกโฉนดที่ดินพิพาทให้โจทก์ได้เพราะจะต้อง กันแนวเขตชานคลองสหกรณ์หรือคลองลัดแสมดำจากกึ่งกลางคลอง เป็นรัศมี 40 เมตร ตามข้อคัดค้านของจำเลยที่ 4 และที่ 5 จึงเป็นข้อกล่าวอ้างที่ไม่มีกฎหมายสนับสนุน บทบัญญัติใน ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 60 วรรคหนึ่งเป็นการใช้ดุลพินิจพนักงานเจ้าหน้าที่หรือจำเลยที่ 1ที่จะทำการสอบสวนเปรียบเทียบหรือไม่ก็ได้มิได้บังคับว่าจำเลยที่ 1 จะต้องทำการสอบสวนเปรียบเทียบทุกกรณีบทบัญญัติดังกล่าวจึงมิใช่เป็นกรณีที่มีกฎหมายให้ฝ่ายบริหารวินิจฉัย ข้อพิพาทก่อน ทั้งไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ 1 ได้ดำเนินการสอบสวน เปรียบเทียบแล้วโจทก์ไม่ยินยอมให้สอบสวนเปรียบเทียบทั้งการที่ไม่มีการเปรียบเทียบก็เป็นการใช้ดุลพินิจไม่เปรียบเทียบของจำเลยที่ 1 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีต่อศาล โดยตรงได้ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ว่า ที่ดินพิพาทของโจทก์อยู่ในเขต หวงห้ามตาม พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินอำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ และอำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร พ.ศ. 2481แม้โจทก์จะมี น.ส.3 แต่โจทก์ไม่ได้ครอบครองที่ดินพิพาทมาก่อนการสงวนหวงห้ามและไม่ได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2479โจทก์ไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาท เมื่อที่ดินพิพาทอยู่ในเขตของนิคมสหกรณ์บ้านไร่ที่ดินพิพาทจึงอยู่ในบังคับของมาตรา 14และมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511นั้น จำเลยที่ 1 ไม่ได้ให้การต่อสู้ในข้อนี้ไว้ แม้จำเลยที่ 5ให้การต่อสู้ไว้ก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยที่ 5จำเลยที่ 1 จึงไม่อาจยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 89/2508


ป.พ.พ. มาตรา 420, 448, 349, 650, 653, 112, 113, 121
ป.วิ.พ. มาตรา 172

          โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยตามสัญญากู้ ซึ่งมีมูลหนี้เดิมจากการทำละเมิดของจำเลย อายุความเรียกร้องต้องเป็นไปตามเรื่องกู้ มิใช่เรื่องมูลละเมิด

                  

          จำเลยทำให้เกิดเพลิงไหม้ทรัพย์สินของโจทก์โดยประมาทเลินเล่อและยอมใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์โดยทำสัญญากู้ให้ไว้และโจทก์ยอมให้ลงวันที่ในสัญญากู้ย้อนหลังไปไม่ถือว่าสัญญากู้นั้นมีวัตถุประสงค์โดยตรงอันจะมีผลให้จำเลยหลุดพ้นจากการต้องหาคดีอาญาฐานกระทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทและไม่ใช่เป็นการทำสัญญากู้เพื่อให้โจทก์ช่วยเหลือจำเลยให้พ้นผิดทางอาญาด้วยสัญญากู้จึงไม่เป็นโมฆะเพราะขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนเนื่องจากเจตนาอันแท้จริงของคู่กรณีเป็นเรื่องจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่กัน

           โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยก่อให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทแก่เรือน เรือนครัว ยุ้งข้าว ข้าวเปลือก สิ่งของเครื่องใช้ในบ้านและต้นผลไม้ถือว่าโจทก์ได้บรรยายรายละเอียดแห่งทรัพย์สินที่เสียหายไว้ในฟ้องชัดแจ้งแล้ว

 

พี่ตุ๊กตา ตั้งข้อสังเกตดังนี้

1.  ในกรณี การใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์สินของตนคืนจากผู้ไม่มีสิทธิยึดถือไว้ เป็นการใช้สิทธิโดยอาศัยอำนาจกรรมสิทธิ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 ไม่ใช่เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากมูลละเมิด เป็นกรณีที่ไม่มีอายุความ ไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่ง มาตรา 448 (ฎีกาที่ 8875/2553, 1286/2537, 1888/2547)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1888/2547

การฟ้องขับไล่เป็นการใช้สิทธิในฐานะเจ้าของทรัพย์ปกป้องทรัพย์สินของตนไม่ให้จำเลยทั้งสามซึ่งไม่มีสิทธิเข้าเกี่ยวข้องตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 ไม่มีกำหนดอายุความ ส่วนการเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 448 มีกำหนดอายุความ 1 ปี นับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิด และรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน และการนับอายุความนั้น ป.พ.พ. มาตรา 193/12 ให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป ข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยทั้งสามอยู่ในที่ดินที่จำเลยที่ 1 นำมาขายฝากแก่โจทก์มาโดยตลอด เมื่อโจทก์อ้างว่าครบกำหนดไถ่คืนแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ไถ่คืน และโจทก์บอกกล่าวให้ออกไปจากที่ดินแล้วจำเลยทั้งสามไม่ยอมออกไปเป็นการอยู่โดยละเมิด ฉะนั้นตราบใดที่จำเลยทั้งสามไม่ยอมออกไป การละเมิดก็ยังคงมีอยู่ อายุความย่อมยังไม่เริ่มนับจนกว่าจะหยุดการทำละเมิดคดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

 

2.   การฟ้องขอให้รื้อถอนอาคารที่ปลูกสร้างรุกล้ำ เป็นการใช้อำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 จึงไม่มีกำหนดอายุความเช่นกัน (ฎีกาที่ 4743/2540)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4743/2540   

          คำฟ้องโจทก์ได้กล่าวว่าอาคารของโจทก์เสียหายอย่างไรอันเกิดจากการกระทำละเมิดของจำเลยทั้งสิบเอ็ด ความเสียหายดังกล่าวสามารถซ่อมแซมได้หรือไม่ เพราะเหตุใด ค่าเสียหายจำนวนเงินเท่าใด โจทก์ได้กล่าวโดยชัดแจ้งถึงสภาพของความเสียหายของโจทก์และจำนวนค่าเสียหาย เพียงพอที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะให้การต่อสู้ได้แล้ว โจทก์ไม่จำต้องกล่าวมาในฟ้องว่าความเสียหายของโจทก์อยู่ที่ส่วนไหนเพียงใด ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสิบเอ็ดรื้อถอนอาคารชุดจำเลยที่ 2 ในส่วนที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ เป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินใช้อำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336บังคับให้จำเลยทั้งสิบเอ็ดรื้อถอนอาคารชุดส่วนที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ ไม่อยู่ในบังคับอายุความเรื่องละเมิด ส่วนกรณีที่โจทก์ฟ้องเรียกเอาค่าเสียหายที่อาคารของโจทก์เสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดโดยตรงนั้น โจทก์อ้างว่าอาคารของโจทก์แตกร้าวเสียหายเมื่อกลางเดือนมิถุนายน 2530และโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทั้งสิบเอ็ดรื้อถอนอาคารชุดส่วนที่รุกล้ำ แต่จำเลยทั้งสิบเอ็ดเพิกเฉย ดังนั้น ตราบใดที่จำเลยทั้งสิบเอ็ดยังคงปล่อยให้มีการรุกล้ำดังกล่าวย่อมถือได้ว่าจำเลยทั้งสิบเอ็ดกระทำละเมิดต่อโจทก์ติดต่อกันมาอยู่ตราบนั้น โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายตราบเท่าที่ยังไม่มีการรื้อถอนอาคารชุดส่วนที่รุกล้ำ คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

 

3.   กรณี ผู้เสียหายเป็นนิติบุคคล อายุความละเมิดต้องนับแต่วันที่ผู้มีอำนาจทำการแทนนิติบุคคลรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน ไม่ใช่นับแต่วันที่พนักงานอื่นของผู้เสียหายรู้ (ฎีกาที่ 2345/2550, 874/2551)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2345/2550

          โจทก์เป็นนิติบุคคลซึ่งในระหว่างเกิดเหตุมี ส. เป็นผู้ว่าการ ส. จึงเป็นผู้มีอำนาจทำการแทนโจทก์แต่เพียงผู้เดียว การที่ น. ซึ่งเป็นผู้อำนวยการกองกฎหมายอันเป็นเจ้าหน้าที่ระดับล่างของโจทก์รู้ถึงการกระทำละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน จะถือว่าโจทก์รู้ด้วยหาได้ไม่ เพราะ น. ไม่ใช่ผู้มีอำนาจทำการแทนโจทก์ ส่วนคำสั่งของโจทก์เรื่องกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบของกองอำนวยการและกองกฎหมายนั้น เป็นเพียงคำสั่งกำหนดขอบเขตหน้าที่ความรับผิดชอบของหน่วยงานภายในองค์กรของโจทก์เท่านั้น การที่ น. มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบที่วางตามปกติ ไม่ใช่เป็นการกระทำแทนผู้ว่าการของโจทก์ตามที่ได้รับมอบหมายในลักษณะของตัวการตัวแทนอันจะถือได้ว่าเป็นการกระทำของผู้ว่าการ ดังนั้น เมื่อปรากฏว่า ส. ผู้ว่าการของโจทก์ได้ทราบเรื่องตามที่เจ้าหน้าที่เสนอมาตามลำดับชั้นและลงนามอนุมัติให้ดำเนินคดีกับจำเลยเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2542 จึงต้องถือว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้ต้องรับผิดในวันดังกล่าว เมื่อโจทก์ฟ้องคดีในวันที่ 4 สิงหาคม 2543 ยังไม่พ้นกำหนด 1 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 448 วรรคแรก ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

 

ตอบคำถาม

ทนาย ให้ความเห็นว่า จากข้อความในหนังสือ ลงวันที่ 2 กันยายน 2556 แผนงานแก้ไขปัญหาเรื่องบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างและงานรั้วกำแพง

ข้อ 2.   ทางบริษัทหรู จะเข้ามาประเมินความเสียหายของบ้านแต่ละหลัง ที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้าง พร้อมรับผิดชอบต่อการซ่อมแซม / ชดเชยตามข้อเท็จจริง

เป็นสัญญาของทั้งสองฝ่ายแล้วว่า บริษัทหรู รับผิดชอบซ่อมแซม ชดเชยตามข้อเท็จจริง หรือรับผิด ในการละเมิด เป็นการตัดข้อต่อสู้ เรื่องอายุความฟ้องละเมิดแล้ว แม้เดี๋ยวนี้ บริษัทหรูจะยังไม่ดำเนินการซ่อมแซมให้

ดังนั้น ทางนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรของหนู สามารถฟ้องให้รับผิดตามสัญญาซ่อมแซม/ชดเชยตามข้อเท็จจริง ได้ คดียังไม่ขาดอายุความ

ทนายน้อย ปราธูป ศรีกลับ ให้ความเห็นว่า คณะกรรมการควรติดต่อ หรือไปพบ เจรจากับผู้มีอำนาจตัวจริงของบริษัทหรู ที่สำนักงานใหญ่ ถ้าไม่จบ ช่วยร้องเรียนกับสื่อมวลชน และตั้งทนายฟ้องคดี

ประชาชนท่านใดมีปัญหาทำนองนี้ อยากหาที่ปรึกษา ทีมทนาย Thai Law Consult พร้อมให้คำปรึกษา ติดต่อพี่ตุ๊กตามานะคะ numaphon@gmail.com โทร. 098-915-0963 เพื่อความสมบูรณ์ของบทความนี้ พี่ตุ๊กตาขอนำฎีกาที่ 89/2508 ฉบับเต็มมาลงไว้ค่ะ

คำพิพากษาฎีกาที่ 89/2508

ป.พ.พ. มาตรา 420, 448, 349, 650, 653, 112, 113, 121
ป.วิ.พ. มาตรา 172

           โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยตามสัญญากู้ ซึ่งมีมูลหนี้เดิมจากการทำละเมิดของจำเลย อายุความเรียกร้องต้องเป็นไปตามเรื่องกู้ มิใช่เรื่องมูลละเมิด

           จำเลยทำให้เกิดเพลิงไหม้ทรัพย์สินของโจทก์โดยประมาทเลินเล่อและยอมใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์โดยทำสัญญากู้ให้ไว้และโจทก์ยอมให้ลงวันที่ในสัญญากู้ย้อนหลังไปไม่ถือว่าสัญญากู้นั้นมีวัตถุประสงค์โดยตรงอันจะมีผลให้จำเลยหลุดพ้นจากการต้องหาคดีอาญาฐานกระทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทและไม่ใช่เป็นการทำสัญญากู้เพื่อให้โจทก์ช่วยเหลือจำเลยให้พ้นผิดทางอาญาด้วยสัญญากู้จึงไม่เป็นโมฆะเพราะขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนเนื่องจากเจตนาอันแท้จริงของคู่กรณีเป็นเรื่องจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่กัน

           โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยก่อให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทแก่เรือน เรือนครัว ยุ้งข้าว ข้าวเปลือก สิ่งของเครื่องใช้ในบ้านและต้นผลไม้ถือว่าโจทก์ได้บรรยายรายละเอียดแห่งทรัพย์สินที่เสียหายไว้ในฟ้องชัดแจ้งแล้ว

________________________________ 

          โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจุดไฟเผากอไผ่โดยประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้ไฟไหม้บ้านเรือนและทรัพย์สินของโจทก์เสียหาย จำเลยยอมใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ แต่ไม่มีเงินชำระทันที จึงแปลงหนี้ทำเป็นสัญญากู้เงินให้โจทก์ยึดไว้เป็นหลักฐาน แต่จำเลยก็ผิดนัดไม่ชำระดอกเบี้ยและต้นเงิน ขอให้ศาลบังคับจำเลย

          จำเลยสู้ว่า ไม่ได้จุดไฟทำให้ไหม้ทรัพย์โจทก์ จำเลยไม่เคยยินยอมใช้ค่าเสียหายโดยทำสัญญากู้ให้โจทก์ โจทก์กับพวกบุกรุกเข้าไปบังคับจำเลยให้พิมพ์ลายนิ้วมือในกระดาษซึ่งจำเลยไม่ทราบว่ากระดาษอะไร และตัอฟ้องว่าเรื่องจำเลยทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทอัยการสั่งไม่ฟ้อง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งจากจำเลยฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและคดีขาดอายุความ เมื่อหนี้เดิมไม่มีก็ไม่มีทางแปลงหนี้ การลงวันที่ย้อนหลังในสัญญากู้เป็นกลฉ้อฉล ทุจริตพ้นวิสัย สัญญาเป็นโมฆะ

          ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินพร้อมทั้งดอกเบี้ย

           จำเลยอุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

          จำเลยฎีกา

          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่ได้ทำไฟไหม้บ้านโจทก์นั้น พยานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยได้จุดไฟเผาป่าไผ่ในนาจำเลยแล้วไฟลุกลามไปไหม้บ้านโจทก์และบ้านใกล้เคียง จำเลยทราบดีว่าความเสียหายเกิดขึ้นจากความผิดของตนเอง จึงได้ยอมใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์โดยดี

          ประเด็นที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ได้ยอมใช้ค่าเสียหายให้โจทก์สัญญากู้ตามฟ้องเป็นโมฆะเพราะถูกข่มขู่ ศาลฎีกาฟังว่า จำเลยได้ทำสัญญากู้ให้โจทก์โดยสมัครใจ มิได้มีการบังคับขู่เข็ญแต่ประการใด ที่จำเลยนำสืบว่าโจทก์ กับพวกใช้อาวุธบังคับขู่เข็ญให้จำเลยทำสัญญา ไม่มีเหตุผลน่าเชื่อ

          ที่จำเลยฎีกาว่า สัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้อง ปราศจากมูลหนี้ที่ชอบด้วยกฎหมายตกเป็นโมฆะนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยทำละเมิดต่อโจทก์ หนี้เดิมเป็นมูลละเมิด จำเลยไม่มีเงินชำระค่าเสียหายจึงทำสัญญากู้ให้ไว้ สัญญากู้จึงสมบูรณ์โจทก์ฟ้องบังคับเอาจากจำเลยได้ และอายุความเรียกร้องก็ต้องเป็นไปตามเรื่องกู้ มิใช่เรื่องละเมิด คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

          ที่จำเลยอ้างว่า โจทก์ยอมให้ลงวันที่ในสัญญากู้ย้อนหลังไปเป็นการอุปการะช่วยเหลือจำเลยให้พ้นจากการถูกลงโทษทางอาญาสัญญากู้จึงเป็นโมฆะ เพราะขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ศาลฎีกาเห็นว่าสัญญากู้รายนี้หาได้มีวัตถุประสงค์โดยตรงอันจะมีผลให้จำเลยหลุดพ้นจากการต้องหาคดีอาญาฐานกระทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทไปแต่ประการใดไม่ และไม่ใช่เป็นการทำสัญญากู้เพื่อให้โจทก์ช่วยเหลือจำเลยให้พ้นผิดทางอาญาด้วย เจตนาอันแท้จริงของคู่กรณี เป็นเรื่องจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่กัน การอำพรางวันที่ลงในสัญญากู้ก็โดยจำเลยขอร้อง จึงหาเป็นเหตุให้สัญญากู้เป็นโมฆะไม่

          ที่จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ศาลฎีกาเห็นว่าฟ้องโจทก์ได้บรรยายรายละเอียดแห่งทรัพย์สินที่เสียหายไปเพราะการทำละเมิดของจำเลยโดยชัดแจ้งแล้วว่า มีเรือน เรือนครัว ยุ้งข้าว ข้าวเปลือกสิ่งของเครื่องใช้ในบ้านและต้นผลไม้ ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น

          พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

( ยง เหลืองรังษี - เชื้อ คงคากุล - เสนอ บุณยเกียรติ )

 

Thai Law Consult นำฎีกาเหล่านี้ มาจากระบบสืบค้นคำพิพากษาศาลฎีกา วันที่ 8 พ.ย. 2556