ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร น.บ.ท.64 ผู้เรียบเรียง
ยกหูถึง "พี่ตุ๊กตา"

 

เรื่องที่ 51      การฟ้องคดี โดยไม่สุจริต เจตนาให้ผู้ถูกฟ้องเสียหาย เป็นการละเมิด (ฎีกาที่ 7191/2551)


                    

8 พฤศจิกายน 2556 รัฐบาลยิ่งลักษณ์งานเข้า เพราะประเมินผิด กับการผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับสุดซอย ม็อบ ส.ส. ประชาธิปัตย์ ยึดอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย   ม็อบจำลอง และญาติธรรม ยึดสะพานมัฆวานรังสรรค์   ขณะที่ ม็อบ คปท จะเคลื่อนย้าย จากแยกอุรุพงษ์ เข้ายึดสะพานผ่านฟ้าลีลาส และงานจะเข้า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ มากยิ่งขึ้น  หาก วันที่ 11 นี้ ตอนเย็น ศาลโลก อ่านคำพิพากษา คดีประสาทพระวิหาร (Temple of Preah Vihear) แล้วเป็นผลเสียกับไทย

วันนี้ พี่ตุ๊กตา ได้รับอีเมล์ จาก อาจารย์ท่านหนึ่ง ของโรงเรียนวัดราชาธิวาส กทม. ถามว่า ญาติถูกฟ้องเป็นคดีอาญา ในข้อหาฉ้อโกง และลักทรัพย์ ถูกคุมขังเรื่อยมา เพราะไม่มีเงินประกันตัว แต่ข้อเท็จจริง ไม่น่าจะเป็นความผิดตามฟ้อง หากเขาฟ้องเท็จ เราจะเรียกร้องค่าเสียหายได้อย่างไรบ้าง

พี่ตุ๊กตา ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร , ทนายน้อย ปราธูป ศรีกลับ น.บ.ท. 64 , ทนายขัตติยะ นวลอนงค์ น.บ.ท. 62 ได้ช่วยกันเรียบเรียงบทความนี้ เป็นความรู้กฎหมายสู่ประชาชน

 

ตอบ

1.   ฟ้องละเมิด เรียกค่าเสียหาย ได้ค่ะ แต่ระวังอายุความ 1 ปี นะคะ

2.   ทีมทนาย Thai Law Consult ขอนำฎีกาที่ 7191/2551 และฎีกาที่ 1812/2552 ฉบับเต็ม มาลงไว้ค่ะ

3.   ประชาชนท่านใด มีปัญหาทำนองนี้ อยากหาที่ปรึกษา ทีมทนาย Thai Law Consult พร้อมช่วยดูแลให้ ติดต่อพี่ตุ๊กตามานะคะ numaphon@gmail.com

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7191/2551

ป.พ.พ. มาตรา 420
ป.วิ.พ. มาตรา 55, 150, ตาราง 1

          การเป็นโจทก์ฟ้องคดี แม้จะถือได้ว่าเป็นการใช้สิทธิทางศาลตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้ แต่หากการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตและมีความมุ่งหมายหรือเจตนาที่จะให้จำเลยได้รับความเสียหาย ก็ย่อมเป็นการละเมิด

          การที่โจทก์ยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 223 ทวิ ขอให้ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษายกฟ้อง หากศาลฎีกาพิพากษาให้ตามขอก็เป็นเพียงการย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ตามตาราง 1 (2) (ก) ท้าย ป.วิ.พ. ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท

________________________________ 

          โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า คดีนี้สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ กรกฎาคม 2546 โจทก์ที่ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยในข้อหาผิดสัญญาหุ้นส่วนต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 4539/2546 ระหว่างพิจารณา โจทก์ที่ กับจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน และศาลได้พิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระเงินจำนวน 316,814.75บาท ให้แก่โจทก์ที่ ต่อมาเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2546 โจทก์ที่ ได้ไปขอรับเช็คที่จำเลยต้องสั่งจ่ายเพื่อชำระหนี้จำนวน 316,814.75 บาท ตามที่ตกลงไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่จำเลยกลับปฏิเสธไม่ยอมสั่งจ่ายเช็คจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์ที่ โดยอ้างว่าจำเลยต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายก่อน และต่อมาเมื่อวันที่ ธันวาคม2546 จำเลยได้นำเงินจำนวน 285,133.28 บาท ซึ่งหักภาษี ณ ที่จ่ายแล้วมาวางต่อศาล โจทก์เห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นการไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอม โจทก์ที่จึงขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ของจำเลย แต่เมื่อโจทก์ที่ ในฐานะตัวแทนของโจทก์ที่ และเจ้าพนักงานบังคับคดีไปถึงสถานที่ที่จะทำการยึดทรัพย์ จำเลยได้ขอเจรจากับโจทก์ที่ โดยจำเลยตกลงที่จะชำระเงินจำนวน 221,185 บาท ซึ่งเมื่อโจทก์ที่ ได้รับชำระเงินจำนวน 221,185 บาท แล้วได้ขอถอนการบังคับคดี ครั้นเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2548 จำเลยได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองด้วยการยื่นฟ้องโจทก์ทั้งสองในข้อหาละเมิด ติดตามทรัพย์คืนต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 7450/2548 โดยอ้างว่าการที่โจทก์ทั้งสองดำเนินการบังคับคดีในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 4539/2546 หมายเลขแดงที่ 9597/2546 เป็นการละเมิดต่อจำเลย ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ซึ่งการที่จำเลยยื่นฟ้องโจทก์ทั้งสองเป็นคดีดังกล่าวทั้งที่จำเลยทราบเป็นอย่างดีว่าจำเลยเป็นฝ่ายไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอม เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตและจงใจทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายอันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ทั้งสองจำนวน300,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง

          จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ทั้งสองในคดีนี้เป็นจำเลยต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 7450//2548 เนื่องจากโจทก์ทั้งสองได้ดำนินการบังคับคดีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิที่จะกระทำได้ ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย การใช้สิทธิฟ้องคดีของจำเลยจึงเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริต และชอบด้วยกฎหมาย หาใช่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง

          ระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่วินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นได้โดยไม่จำต้องสืบพยานโจทก์จำเลย จึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย

          ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า การที่จำเลยฟ้องโจทก์ทั้งสอง ยังไม่ถือว่าโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิจากจำเลย โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

          โจทก์ที่ อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ

          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ที่ ว่า การที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองโดยเห็นว่าโจทก์ทั้งสองไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 อันจะทำให้มีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เป็นการชอบหรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยเป็นโจทก์ยื่นฟ้องโจทก์ทั้งสองในคดีนี้เป็นจำเลยในข้อหาละเมิดต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้โดยอ้างว่าการที่โจทก์ทั้งสองดำเนินการบังคับคดีแก่จำเลยในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 9597/2546 เป็นการละเมิดต่อจำเลยนั้น แม้จะถือได้ว่าเป็นการใช้สิทธิทางศาลตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้ก็ตาม แต่หากการใช้สิทธิทางศาลที่มีความมุ่งหมายหรือเจตนาที่จะให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย ก็ย่อมเป็นการละเมิด คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องอ้างว่าจำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าจำเลยเป็นฝ่ายไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 9597/2546 การที่จำเลยเป็นโจทก์ยื่นฟ้องโจทก์ทั้งสองเป็นจำเลยในข้อหาละเมิด เรียกทรัพย์คืนต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ โดยอ้างว่าโจทก์ทั้งสองดำเนินการบังคับคดีแก่จำเลยฝ่าฝืนกฎหมายนั้นเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตและจงใจให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย ซึ่งหากข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่โจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างในคำฟ้องก็ย่อมให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายได้ กรณีถือได้ว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองจึงชอบที่จะเสนอคำฟ้องต่อศาลเป็นคดีนี้ได้ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยเห็นว่าโจทก์ที่ ยังไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธินั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของโจทก์ที่ ฟังขึ้น

          อนึ่ง คดีนี้แม้โจทก์ที่ จะขอให้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่หากศาลฎีกาพิพากษาให้ตามขอก็เป็นเพียงการย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ตามตาราง 1 (2) (ก) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท ดังนี้จึงให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เสียเกินมาแก่โจทก์ที่ 1”

          พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนของโจทก์ที่ ให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานและมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกิน 200 บาท แก่โจทก์ที่ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

( มนตรี ยอดปัญญา - ดิเรก อิงคนินันท์ - วีระพล ตั้งสุวรรณ )

   

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1812/2552 (ฉบับย่อ)

                    ในคดีมูลละเมิดฐานทำให้โจทก์เสียหายต่อร่างกาย เสรีภาพและชื่อเสียง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 นั้น จะต้องได้ความว่าจำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อกระทำให้โจทก์ต้องเสียหายต่อร่างกาย เสรีภาพและชื่อเสียง และหากมีการใช้สิทธิทางศาล ก็ต้องถึงขนาดที่ว่าจำเลยกระทำการโดยไม่สุจริต จงใจทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โดยใช้ศาลเป็นเครื่องกำบัง จึงจะเป็นการกระทำละเมิด

 

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3833/2528 (ฎีกาแถม)

ป.พ.พ. มาตรา 5, 420, 421, 1393
ป.วิ.พ. มาตรา 24, 226, 227

          การใช้สิทธิทางศาล หากกระทำโดยไม่สุจริต จงใจแต่จะให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โดยใช้ศาลเป็นเครื่องกำบัง ก็เป็นการกระทำละเมิดได้ โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยได้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินอันเป็นสามยทรัพย์ให้แก่บุคคลอื่นไป ไม่มีสิทธิในทางภาระจำยอมอีกแล้ว กลับมายื่นคำร้องและนำสืบพยานหลักฐานในการไต่สวนคำร้องโดยจงใจกลั่นแกล้งโจทก์ เพื่อให้โจทก์ได้รับความเสียหายหากได้ความเป็นความจริงตามฟ้องก็จะถือว่าจำเลยใช้สิทธิในทางศาลโดยสุจริตมิได้การกระทำของจำเลยอาจเป็นละเมิดต่อโจทก์ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ห้ามโจทก์ โอนขาย จำหน่ายที่ดิน หากมีคำสั่งไปเพราะหลงเชื่อตามพยานหลักฐานเท็จหรือปกปิดความจริงที่จำเลยนำสืบ ย่อมเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ได้เช่นเดียวกัน ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะสืบพยานโจทก์จำเลยให้เสร็จสิ้นกระแสความเสียก่อนการสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยเสียจึงถือว่าไม่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณาเป็นการไม่ชอบ ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้อง คำให้การ แล้วมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยและวินิจฉัยในข้อกฎหมายว่าคำสั่งศาลมิใช่ผลโดยตรงจากการที่จำเลยยื่นคำร้องการกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ พิพากษายกฟ้อง เป็นการที่ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมายอันทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตาม มาตรา 227 แม้โจทก์จะไม่ได้โต้แย้งไว้ก็มีสิทธิอุทธรณ์และฎีกาต่อมาได้

________________________________ 

          โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินซึ่งได้จดทะเบียนเป็นภารยทรัพย์เกี่ยวกับทางเดินให้แก่ที่ดินโฉนดอื่นซึ่งเดิมเป็นของจำเลย ที่ดินทั้งสองแปลงนี้โจทก์จำเลยเคยพิพาทกันเกี่ยวกับทางภารจำยอม โดยจำเลยได้ฟ้องกล่าวหาว่าโจทก์ละเมิด รุกล้ำทางภารจำยอม ในที่สุดได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและศาลพิพากษาตามยอมหลังจากนั้นโจทก์แบ่งแยกที่ดินของโจทก์ส่วนที่ไม่เกี่ยวกับทางภารจำยอมออกเป็นหลายโฉนดและก่อสร้างตึกแถวลงบนที่ดินที่แบ่งแยกเพื่อขายแก่บุคคลทั่วไป ส่วนที่ดินที่อยู่ในเขตภารจำยอมคงครอบภารจำยอมไว้ดังเดิม จำเลยได้ยื่นคำร้องต่อศาลในคดีที่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่าโจทก์ปลูกสร้างตึกแถวรุกล้ำทางภารจำยอมและกำลังจะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่บุคคลภายนอกศาลไต่สวนแล้วหลงเขื่อจึงมีคำสั่งห้ามโจทก์โอนขาย หรือจำหน่าย คำร้องของจำเลยไม่เป็นความจริง ทั้งจำเลยได้โอนที่ดินของตนให้แก่บุคคลอื่นไปแล้ว ไม่มีสิทธิใด ๆเกี่ยวกับทางภารจำยอมอีก เป็นการจงใจกลั่นแกล้งเพื่อให้โจทก์ได้รับความเสียหายทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงินค่าเสียหายทั้งสิ้น 279,899.83 บาท ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวกับค่าเสียหายอีกเดือนละ 29,849 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าศาลจะมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งห้ามการโอนที่ดินของโจทก์

          จำเลยให้การว่าโจทก์ก่อสร้างตึกแถวทับทางภารจำยอม ทั้งยังพยายามโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเพื่อให้เกิดความยุ่งยากแก่การบังคับคดี จำเลยจึงต้องขอให้ศาลสั่งห้าม เป็นการใช้สิทธิทางศาลโดยสุจริต ไม่ผิดกฎหมายและไม่เป็นละเมิด

          ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้จึงงดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่าคำสั่งศาลมิใช่ผลโดยตรงจากการที่จำเลยยื่นคำร้อง การกระทำของจำเลยฟังไม่ได้ว่าเป็นการละเมิด พิพากษายกฟ้อง

          โจทก์อุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

          โจทก์ฎีกา

          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาว่า ศาลชั้นต้นงดสืบพยานเป็นการชอบหรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยยื่นคำร้องในคดีที่โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามโจทก์ทำการโอนที่ดินแล้วนำพยานหลักฐานเข้าสืบในการไต่สวนคำร้องนั้น เป็นการใช้สิทธิทางศาล หากกระทำโดยไม่สุจริต จงใจแต่จะให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โดยใช้ศาลเป็นเครื่องกำบัง ก็เป็นการกระทำละเมิดได้ โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยได้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินอันเป็นสามยทรัพย์ให้แก่บุคคลอื่นไปไม่มีสิทธิในทางภารจำยอมอีกแล้ว กลับมายื่นคำร้องและนำสืบพยานหลักฐานในการไต่สวนคำร้องโดยจงใจกลั่นแกล้งโจทก์ เพื่อให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ดังนี้หากได้ความเป็นความจริงตามฟ้องก็จะถือว่าจำเลยใช้สิทธิในทางศาลโดยสุจริตมิได้การกระทำของจำเลยอาจเป็นละเมิดต่อโจทก์ ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะสืบพยานโจทก์จำเลยให้เสร็จสิ้นกระแสความเสียก่อน ส่วนที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคำสั่งที่ห้ามโจทก์โอน ขาย จำหน่ายที่ดินเป็นการสั่งไปตามดุลพินิจของศาล มิใช่ผลโดยตรงจากการที่จำเลยยื่นคำร้องนั้น เห็นว่า หากศาลมีคำสั่งไปเพราะหลงเชื่อตามพยานหลักฐานเท็จหรือปกปิดความจริงที่จำเลยนำสืบดังที่โจทก์กล่าวในฟ้อง การกระทำของจำเลยย่อมเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ได้เช่นเดียวกัน ฉะนั้น ที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลยเสีย จึงถือว่าไม่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณา เป็นการไม่ชอบ ที่จำเลยยื่นคำแก้ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2525 ให้งดสืบพยานทั้งสองฝ่ายแล้วนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 15 ธันวาคม2525 โจทก์มีเวลาเพียงพอที่จะโต้แย้งคำสั่งศาล แต่มิได้โต้แย้ง จึงไม่มีสิทธิยกขึ้นอุทธรณ์ฎีกานั้น เห็นว่า ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องคำให้การแล้วมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยและวินิจฉัยในข้อกฎหมายว่าคำสั่งศาลมิใช่ผลโดยตรงจากการที่จำเลยยื่นคำร้อง การกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ พิพากษายกฟ้อง เป็นการที่ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมายอันทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามมาตรา 227 แม้โจทก์จะไม่ได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นไว้ก็มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นและฎีกาต่อมาได้

          พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการชี้สองสถานและสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

( สมบูรณ์ บุญภินนท์ - สุพจน์ นาถะพินธุ - เพียร สุมิระ )

 

ThaiLawConsult นำมาจากระบบสืบค้นคำพิพากษาศาลฎีกา วันที่ 8 พ.ย. 2556