ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร น.บ.ท.64 ผู้เรียบเรียง
ยกหูถึง "พี่ตุ๊กตา"
เรื่องที่ 53 ทุนทรัพย์ ในคดีที่ดิน คำนวณอย่างไร ข้อสังเกต จาก 3 ฎีกา
วันที่ 11-11-2013 เวลา 16.00 น. (เวลาประเทศไทย) ศาลโลกอ่านคำพิพากษาคดี "พระวิหาร" ทีวีทุกช่อง ถ่ายทอดสดจาก กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ขณะที่ ม็อบ ส.ส. ประชาธิปัตย์ ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ประชาชนทยอยมาสมทบจากทั่วประเทศ เข้าทางแกนนำ ที่ปลุกประชาชน ต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับสุดซอย แล้วยกระดับเป็น ม็อบ ไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์
ขณะที่ เมื่อคืนวันอาทิตย์ 10-11-2013 ม็อบเสื้อแดง ที่สนามฟุตบอล อิมแพ็ค เมืองทองธานี ก็มีมวลชนเสื้อแดง เข้าร่วมจำนวนมาก
วันนี้ ทีมทนาย Thai Law Consult ได้รับอีเมล์ 3 ฉบับ สอบถามเรื่องคดีที่ดิน ทั้งการถูกครอบครองปรปักษ์ และทางภาระจำยอม ทุกคนถามว่า ทุนทรัพย์ที่พิพาทกำหนดอย่างไร และจะฟ้องเป็นสำนวนเดียวได้หรือไม่ พี่ตุ๊กตา ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร , ทนายน้อย ปราธูป ศรีกลับ , ทนายเอก ขัตติยะ นวลอนงค์ เปิดหนังสือ ป.วิ.พ. ว่าด้วย อุทธรณ์ - ฎีกา ของอาจารย์จรัล ภักดีธนากุล แล้วเรียบเรียงบทความนี้ ตอบคำถามข้างต้น
หลักกฎหมาย
บทตัดสิทธิ์ ในการอุทธรณ์ ปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ. 224
มาตรา 224 ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาท กันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาทหรือไม่เกินจำนวนที่กำหนดใน พระราชกฤษฎีกา ห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง เว้นแต่ ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีนั้นในศาลชั้นต้นได้ทำความเห็นแย้งไว้ หรือได้รับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ได้ หรือถ้าไม่มีความเห็นแย้ง หรือคำรับรองเช่นว่านี้ ต้องได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์เป็นหนังสือ จากอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้นหรืออธิบดีผู้พิพากษาภาคผู้มีอำนาจ แล้วแต่กรณี
บทบัญญัติในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับในคดีเกี่ยวด้วยสิทธิแห่งสภาพ บุคคลหรือสิทธิในครอบครัวและคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่ อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เว้นแต่ในคดีฟ้องขับไล่บุคคลใด ๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าหรืออาจให้เช่าได้ ในขณะยื่น คำฟ้องไม่เกินเดือนละสี่พันบาทหรือไม่เกินจำนวนที่กำหนดใน พระราชกฤษฎีกา
การขอให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น รับรองว่ามี เหตุอันควรอุทธรณ์ได้ให้ผู้อุทธรณ์ยื่นคำร้องถึงผู้พิพากษานั้นพร้อม กับคำฟ้องอุทธรณ์ต่อศาลชั้นต้น เมื่อศาลได้รับคำร้องเช่นว่านั้น ให้ศาลส่งคำร้องพร้อมด้วยสำนวนความไปยังผู้พิพากษาดังกล่าว เพื่อพิจารณารับรอง
บทตัดสิทธิ์ ในการฎีกา ปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ. 248
มาตรา 248 ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาท กันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทหรือไม่เกินจำนวนที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง เว้นแต่ผู้พิพากษา ที่ได้นั่งพิจารณาคดีนั้นในศาลอุทธรณ์ได้มีความเห็นแย้ง หรือผู้พิพากษา ที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นก็ดี ศาลอุทธรณ์ก็ดี ได้รับรองไว้หรือรับรองในเวลาตรวจฎีกาว่ามีเหตุสมควร ที่จะฎีกาได้ ถ้าไม่มีความเห็นแย้งหรือคำรับรองเช่นว่านี้ต้องได้รับ อนุญาตให้ฎีกาเป็นหนังสือจากอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์
บทบัญญัติในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับในคดีเกี่ยวด้วยสิทธิแห่งสภาพบุคคลหรือสิทธิในครอบครัว และคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่ อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เว้นแต่ในคดีฟ้องขับไล่บุคคลใด ๆ ออก จากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าหรืออาจให้เช่าได้ ในขณะยื่นคำฟ้อง ไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาทหรือไม่เกินจำนวนที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา
คดีเกี่ยวกับการบังคับวงศ์ญาติทั้งหลายและบริวารของผู้ถูกฟ้องขับไล่ ซึ่งอยู่บนอสังหาริมทรัพย์ซึ่งคู่ความในคดีฟ้องขับไล่นั้นต้องห้าม ฎีกาข้อเท็จจริงตามวรรคสอง ถ้าศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตาม คำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้น หรือเพียงแต่แก้ไขเล็กน้อย ไม่ว่า ศาลจะฟังว่าบุคคลดังกล่าวสามารถแสดงอำนาจพิเศษให้ศาลเห็นได้ หรือไม่ ห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงเว้นแต่จะได้มีความเห็นแย้งหรือ คำรับรอง หรือหนังสืออนุญาตให้ฎีกาตามที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง
การขอให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น หรือศาล อุทธรณ์รับรองว่ามีเหตุสมควรมี่จะฎีกาได้ ให้ผู้ฎีกายื่นคำร้องถึง ผู้พิพากษานั้นพร้อมกับคำฟ้องฎีกาต่อศาลชั้นต้น เมื่อศาลได้รับ คำร้องเช่นว่านั้น ให้ส่งคำร้องพร้อมด้วยสำนวนความไปยังผู้ พิพากษาดังกล่าวเพื่อพิจารณารับรอง
พี่ตุ๊กตา ตั้งข้อสังเกต เรื่องคดีมีทุนทรัพย์ ดังนี้
- สิทธิประโยชน์ที่พิพาทกันในคดีนั้น ต้องกำหนดราคาเป็นเงินได้
- ในขณะที่ยื่นฟ้องนั้น ต้องยังไม่แน่นอนว่าทรัพย์หรือสิทธิที่พิพาทกันนั้น เป็นของโจทก์อยู่แล้ว
- ถ้าโจทก์ชนะคดี จะเป็นผลให้โจทก์ได้ไปซึ่งสิทธิประโยชน์ที่ตีราคาเป็นเงินได้ เพิ่มขึ้นมาในกองทรัพย์สินของโจทก์ หรือไม่ต้องสูญเสียทรัพย์หรือสิทธิที่มีอยู่ไป
- คดีใดจะเป็นคดีมีทุนทรัพย์หรือไม่นั้น จะต้องมีองค์ประกอบครบทั้ง 3 ประการ ตามที่กล่าวมาข้างต้นนี้ หากขาดประการใดประการหนึ่งแล้ว คดีนั้นย่อมมิใช่คดีมีทุนทรัพย์ แต่จะกลายเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ไป
- ในการพิจารณาว่าคดีใดเป็นคดีมีทุนทรัพย์หรือเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ โดยปกติจะต้องดูจากคำขอในคำฟ้องเป็นสำคัญ ซึ่งศาสตราจารย์ จิตติ ติงศภัทิย์ ได้ให้หลักในหมายเหตุท้ายคำพิพากษาฎีกาที่ 812/2498 ว่า "ถ้าเรียกทรัพย์สินใดมาเป็นของโจทก์ โดยไม่เป็นเจ้าของอยู่ในเวลาฟ้องแล้ว เป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาทุนทรัพย์ที่เรียกร้อง ถ้าโจทก์เป็นเจ้าของทรัพย์อยู่แล้ว แต่ต้องเรียกจากจำเลยเพราะเหตุใดก็ตามเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ เว้นแต่จำเลยต่อสู้กรรมสิทธิ์ เป็นการพิพาทในทรัพย์สิน จึงมีทุนทรัพย์ตามราคาในทรัพย์สินที่พิพาท
ทนายน้อย ปราธูป ศรีกลับ น.บ.ท.64 ตั้งข้อสังเกตดังนี้
ถ้าคดีมีทุนทรัพย์ จะคิดคำนวณทุนทรัพย์อย่างไร
- วิธีคำนวณทุนทรัพย์ว่ามากหรือน้อยเท่าใด เพื่อนำไปใช้เป็นเกณฑ์พิจารณาว่าจะต้องห้ามอุทธรณ์ - ฎีกาหรือไม่นั้น กฎหมายปัจจุบัน มิได้ถือจำนวนทุนทรัพย์ในศาลชั้นต้นเป็นสำคัญ แต่ให้ถือเอาจำนวนทุนทรัพย์ ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์หรือในชั้นฎีกา เป็นเกณฑ์เพื่อพิจารณาว่าจะต้องห้ามอุทธรณ์หรือฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่
- หากโจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์หรือค่าเสียหายมาหลายรายการ การพิจารณาจำนวนทุนทรัพย์หรือราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในช้นอุทธรณ์ ต้องพิจารณาว่า แต่ละข้อหาสามารถแยกออกจากกันได้หรือไม่ ถ้าไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ก็ให้รวมคำนวณเป็นทุนทรัพย์จำนวนเดียวกันตาม ป.วิ.พ. มาตรา 190 (3) แต่ถ้าข้อหาแต่ละข้อหาแยกจากกันได้ หรือไม่เกี่ยวข้องกัน ต้องพิจารณาจำนวนทุนทรัพย์หรือราคาทรัพย์สินแยกเป็นรายข้อหาไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2329 - 2330/2555 : ศาลได้รวมพิจารณาพิพากษาคดี 2 สำนวนเข้าด้วยกัน สำนวนแรกโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากที่ดินแปลงที่ 1 ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์เนื้อที่ 3 ไร่ 1 งาน 76 ตารางวา
สำนวนที่ 2 ฟ้องขับไล่จำเลย ให้ออกจากที่ดินแปลงที่ 2 ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ดังกล่าว เนื้อที่ 4 ไร่ 3 งาน 65 ตารางวา
จำเลยในสำนวนแรกให้การกล่าวแก้ข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิว่า ที่ดินพิพาทแปลงที่ 1 เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย จึงมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันตามราคาที่ดินที่จำเลยโต้แย้งสิทธิของโจทก์ เมื่อที่ดินพิพาททั้งแปลงเนื้อที่ 11 ไร่ 1 งาน 73 ตารางวา มีราคา 240,000 บาท ที่ดินพิพาทแปลงที่ 1 จึงมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท
ส่วนจำเลยในสำนวนที่ 2 ให้การต่อสู้ว่า ที่ดินพิพาทแปลงที่ 2 เป็นกรรมสิทธิ์ของ บ. ภริยาจำเลย จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทแปลงที่ 2 โดยอาศัยสิทธิของ บ. แม้จะถือไม่ได้ว่าเป็นการกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ก็ตาม แต่ที่ดินพิพาทแปลงที่ 2 ตั้งอยู่ในชนบท ใช้ทำนา มิใช่อยู่ในทำเลการค้า อันจะทำให้ได้ค่าเช่าที่สูงเป็นพิเศษ ตามลักษณะและสภาพแห่งที่ดิน เชื่อว่าอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นฟ้อง ไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท ที่จำเลยทั้ง 2 สำนวนฎีกาว่า ที่ดินพิพาทมิใช่ของโจทก์แต่เป็นของจำเลยทั้งสอง ทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 1196 ของโจทก์ทับที่ดินพิพาทของจำเลยทั้งสอง เป็นการโต้เถียงในข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 วินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทแปลงที่ 1 และแปลงที่ 2 เป็นของโจทก์
คดีของจำเลยทั้งสองจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6769/2554 : โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ยกที่ดินมีโฉนด จำนวน 3 แปลง ให้แก่โจทก์และโจทก์ครอบครองปรปักษ์ จนได้กรรมสิทธิ์แล้ว ขอให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาททั้ง 3 แปลงให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธว่า ไม่เคยยกที่ดินให้โจทก์ จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์เกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้ง 3 แปลง ซึ่งศาลจะต้องแยกพิจารณาและวินิจฉัยกรรมสิทธิ์ในที่ดินแต่ละแปลงแยกออกต่างหากจากกันเป็นรายแปลง ดังนั้น ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกา จึงต้องแยกพิจารณาตามราคาที่ดินแต่ละแปลง เมื่อที่ดินแปลงที่ 2 และแปลงที่ 3 มีราคาไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามมาตรา 248 วรรคหนึ่ง การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาสำหรับที่ดินแปลงที่ 2 และแปลงที่ 3 มานั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้ ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลฎีกา คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาทั้งหมดแก่ผู้ฎีกา (ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 151 วรรคสาม)
ทนายเอก ขัตติยะ นวลอนงค์ น.บ.ท. 62 ให้ความเห็นดังนี้
3. ราคาทรัพย์สินที่พิพาทต้องถือตามราคาตลาดในขณะยื่นฟ้อง ซึ่งยุติมาแล้วในศาลชั้นต้น คู่ความจะขอให้ตีราคาทรัพย์เพิ่มเติมในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกาไม่ได้
4. ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ ต้องเป็นทรัพย์สินหรือำนวนทรัพย์ที่พิพาทกันจริงๆ ในชั้นอุทธรณ์ มิได้ถือเอาจำนวนที่พิพาทกันในศาลชั้นต้น ด้วยเหตุนี้ สิทธิอุทธรณ์ของคู่ความแต่ละคนหรือแต่ละฝ่ายในคดี อาจแตกต่างกันไปตามจำนวนทุนทรัพย์หรือราคาทรัพย์สินที่พิพาทของแต่ละคนที่โต้แย้ง หรือพิพาทกันในชั้นอุทธรณ์
5. จำนวนทุนทรัพย์หรือราคาทรัพย์สินที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์ จะไม่นำจำนวนทุนทรัพย์ที่คู่ความรับกันหรือยุติแล้วในศาลชั้นต้น มารวมคำนวณเป็นทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6420/2540 : ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์เนื่องจากฟังข้อเท็จจริงว่าหนี้ที่จำเลยต้องรับผิดชดใช้มีเพียง 28,466.60 บาท เมื่อโจทก์รับว่าเป็นหนี้จำเลยจำนวน 39,342 บาท และขอหักกลบลบหนี้ จำเลยจึงไม่มีหนี้ที่ต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ตามฟ้องจำนวน 63,174.41 บาท จึงมีจำนวนหนี้ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์เพียง 34,707.80 บาท ไม่ใช่จำนวน 63,174.41 บาท ถือได้ว่าอุทธรณ์ของโจทก์เป็นคดีที่มีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน 50,000 บาท ต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224วรรคหนึ่ง
โจทก์ฎีกาขอให้กลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ โดยขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ต้องเสียค่าขึ้นศาล 200 บาท ตามตาราง 1 ข้อ 2 ก. ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
6. ดอกเบี้ยหรือค่าเสียหาย ตามคำพิพากษาภายหลังวันยื่นคำฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ ซึ่งเป็นหนี้ในอนาคต มาตรา 190(1) ไม่ให้นำมารวมคำนวณเป็นทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์
ตอบคำถาม พี่ตุ๊กตา ThaiLawConsult ขอตอบคำถามของอาจารย์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ด้วยหลักการในข้อ 7 ดังนี้
7. คดีที่โจทก์หลายคนฟ้องรวมกันมา และคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยหลายคน จะคิดทุนทรัพย์รวมหรือแยก ขึ้นอยู่กับสภาพแห่งสิทธิของโจทก์ และสภาพความรับผิดของจำเลยแต่ละคนว่าแยกต่างหากจากกันได้หรือไม่ หากแยกได้ ก็ต้องคิดทุนทรัพย์แยกตามมาตรา 190(3) ตอนท้าย (ฎีกาที่ 11721 - 11722/2553)
แต่ถ้าแยกกันไม่ได้ ก็ต้องคิดทุนทรัพย์รวม (ฎีกาที่ 5480/2546)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1635/2552 : แม้โจทก์ทั้งสามร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่เป็นคู่ความเดียวกันเพราะโจทก์ทั้งสามมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 59 แต่ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเป็นเรื่องที่โจทก์แต่ละคนต่างครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตามส่วนที่แต่ละคนขอรังวัด อันเป็นการที่โจทก์แต่ละคนต่างใช้สิทธิเฉพาะตัวตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 การพิจารณาทุนทรัพย์ว่าต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง จึงต้องพิจารณาทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ของโจทก์แต่ละคนแยกกัน โจทก์ทั้งสามจะถือราคาที่ดินทั้งแปลงเป็นทุนทรัพย์พิพาทในชั้นอุทธรณ์หาได้ไม่ เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์สำหรับโจทก์แต่ละคนไม่เกิน 50,000 บาท และอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสามเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน ซึ่งเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสามจึงต้องห้ามอุทธรณ์
โจทก์ทั้งสามฎีกาเฉพาะเพียงขอให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 และให้พิพากษาใหม่ตามรูปคดี จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ต้องเสียค่าขึ้นศาล 200 บาท ตามตาราง 1 ข้อ 2 (ก) ท้าย ป.วิ.พ. (เดิม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5971/2544
นายจาง สุ่มพวง ที่ 1 โจทก์
นางเจิย สุ่มพวง ที่ 2 โจทก์
นายเจือ สุ่มพวง ที่ 3 โจทก์
นางเหนียม สุ่มพ่วง ที่ 3 โจทก์
นางสาวบุญปลูก สุ่มพ่วง จำเลย
ป.วิ.พ. มาตรา 248
โจทก์ทั้งสี่ฟ้องขอให้บังคับจำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกแบ่งที่ดินทรัพย์มรดกแก่โจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นทายาทคนละ 1 ส่วน รวม 4 ส่วน ใน 9 ส่วนคิดเป็นเงินรวม 279,632 บาท จำเลยให้การว่าที่ดินดังกล่าวมิใช่ทรัพย์มรดก แม้โจทก์ทั้งสี่ฟ้องรวมกันมา การอุทธรณ์ฎีกาก็ต้องถือทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนแยกกันเพราะเป็นเรื่องโจทก์แต่ละคนใช้สิทธิเฉพาะของตน เมื่อที่ดินแต่ละส่วนที่โจทก์แต่ละคนฟ้องขอแบ่งมีราคาไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามคู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่า พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสี่ฟังไม่ได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นมรดกเป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว
________________________________
โจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของนางสำรวม สุ่มพวง โดยคำสั่งศาลไม่แบ่งปันที่ดินมรดกตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1982 ตำบลหันคา อำเภอหันคา จังหวัดชัยนาท แก่โจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นทายาทและทายาทอื่น ๆ รวม 9 คน ขอให้บังคับจำเลยแบ่งปันมรดกแก่โจทก์ทั้งสี่คนละ 1 ใน 9 ส่วนหากตกลงกันไม่ได้ให้นำที่ดินออกประมูลขายนำเงินมาแบ่งแก่โจทก์ทั้งสี่ตามส่วน
จำเลยให้การว่า เจ้ามรดกยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยตั้งแต่จำเลยอายุ 20 ปีเศษ โดยส่งมอบการครอบครองแก่จำเลยในเวลานั้น แต่เจ้ามรดกล้มป่วยด้วยโรคเบาหวาน จำเลยจึงยังไม่ได้จดทะเบียนรับโอนการครอบครอง หลังจากเจ้ามรดกตาย จำเลยต้องการไถ่ถอนจำนองและจดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย เจ้าพนักงานที่ดินแนะนำให้จำเลยร้องขอจัดการมรดกเสียก่อน จึงจะดำเนินการได้ตามความประสงค์ การที่จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกไม่แบ่งปันที่ดินพิพาทแก่โจทก์ทั้งสี่และทายาทอื่นจึงชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยแบ่งปันที่ดินมรดกตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1982 ตำบลหันคา อำเภอหันคา จังหวัดชัยนาท แก่โจทก์ทั้งสี่คนละ 1 ใน 9 ส่วน หากจำเลยไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย คำขอให้นำที่ดินมรดกออกประมูลขายหรือขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งแก่โจทก์ทั้งสี่ตามส่วนนั้นเป็นเรื่องของเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม จึงไม่จำต้องวินิจฉัยค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีนี้โจทก์ทั้งสี่ฟ้องขอให้บังคับจำเลยแบ่งที่ดินทรัพย์มรดกแก่โจทก์ทั้งสี่คนละ 1 ส่วน รวม 4 ส่วน ใน 9 ส่วน คิดเป็นเงิน 279,632 บาท ดังนี้ ศาลฎีกาโดยมติของที่ประชุมใหญ่เห็นว่า แม้โจทก์ทั้งสี่ฟ้องรวมกันมา การอุทธรณ์ฎีกาก็ต้องถือทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนแยกกัน เพราะเป็นเรื่องโจทก์แต่ละคนใช้สิทธิเฉพาะของตน เมื่อที่ดิน 4 ส่วน ที่โจทก์ทั้งสี่ตีราคาเป็นทุนทรัพย์รวมกันมานั้นมีราคา 279,632 บาท ที่ดินแต่ละส่วนที่โจทก์แต่ละคนฟ้องขอแบ่งจึงมีราคาไม่เกิน 200,000 บาท ดังนั้น ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาสำหรับโจทก์แต่ละคนจึงไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามคู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่า พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสี่ฟังไม่ได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นมรดกเป็นฎีกาโต้เถียงในข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว แม้ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาจำเลย คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดแก่จำเลยค่าฤชาธรรมเนียมอื่นชั้นฎีกาให้เป็นพับ
( โนรี จันทร์ทร - พินิจ เพชรรุ่ง - ทวีวัฒน์ แดงทองดี )
หมายเหตุ
ข้อจำกัดสิทธิในการอุทธรณ์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 และมาตรา 248ถือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์หรือชั้นฎีกาเป็นสำคัญจึงมีปัญหาว่า อย่างไรจึงถือว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์ และคิดทุนทรัพย์อย่างไร
ทรัพย์มรดกแม้จะตกเป็นของทายาททันทีที่เจ้ามรดกตายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1599 แต่การที่ทายาทฟ้องทายาทด้วยกันขอแบ่งมรดกไม่ว่าเป็นเงินหรือทรัพย์สินอื่น เป็นการเรียกเอาทรัพย์ส่วนที่ขอแบ่งมาเป็นของตนจึงเป็นคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ถือว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ถ้าทายาทหลายคนร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นทายาทหรือมิใช่ทายาทขอแบ่งมรดกให้แก่โจทก์แต่ละคนตามส่วนที่แต่ละคนมีสิทธิได้รับตามมาตรา 59 หากจำเลยให้การต่อสู้ว่าทรัพย์ที่โจทก์ขอแบ่งมิใช่ทรัพย์มรดก จะต้องคิดทุนทรัพย์รวมกัน แม้จะเป็นการฟ้องขอแบ่งตามส่วนที่โจทก์แต่ละคนมีสิทธิได้รับก็ตาม (คำพิพากษาฎีกาที่ 6560/2538ประชุมใหญ่,1459/2539) เพราะเท่ากับเป็นการต่อสู้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้นกับเจ้ามรดกหรือกองมรดกทั้งจำนวนไม่มีปัญหาเรื่องส่วนแบ่งของโจทก์แต่ละคน แต่ถ้าจำเลยซึ่งเป็นทายาทหรือผู้จัดการมรดกไม่ได้ให้การต่อสู้ว่ามิใช่ทรัพย์มรดก เช่น ต่อสู้ว่าโจทก์มิใช่ทายาท หรือ ส่วนแบ่งไม่เป็นไปตามที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้อง จะต้องคิดทุนทรัพย์แยกตามส่วนที่โจทก์แต่ละคนขอแบ่ง เพราะถือว่าโจทก์แต่ละคนใช้สิทธิของตนเป็นการเฉพาะตัวสามารถแยกจากกันได้ แม้จำเลยจะเป็นผู้ฎีกาก็ตาม(คำพิพากษาฎีกาที่ 2528/2544)
คดีนี้โจทก์ทั้งสี่ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกขอแบ่งที่ดินมรดกซึ่งมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ให้โจทก์ทั้งสี่ตามส่วนของโจทก์แต่ละคน จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทมิใช่ทรัพย์มรดกและจำเลยเป็นฝ่ายฎีกาแต่ศาลฎีกาโดยมติของที่ประชุมใหญ่วินิจฉัยว่าต้องถือทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนแยกจากกันเท่ากับศาลฎีกากลับหลักตามคำพิพากษาฎีกาที่ 6560/2538(ประชุมใหญ่) แล้ว
ไพโรจน์ วายุภาพ

