ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร น.บ.ท.64 ผู้เรียบเรียง
ยกหูถึง "พี่ตุ๊กตา"
เรื่องที่ 58 การสร้างฐานรากของโรงเรือน ใต้ที่ดิน รุกล้ำ ได้ภาระจำยอมโดยอายุความ หรือไม่
คำถามจากบ้านดุง อุดรธานี
วันจันทร์ที่ 2 ธันวาคม 2556 ม็อบ กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ ยังมีมวลชนเหนียวแน่น จะเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล ประเทศไทยไม่สงบ และเข้าสู่ความแยกแตกอย่างหนัก Thai Law Consult เหลือบไปเห็น บทนำ หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับวันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2556 น่าสนใจกับคำว่า "รักษาเป้าหมายสงบสันติ" และบทความ "บทบาท สุเทพ การปฏิวัติ 'ประชาชน' บทบาท คนขี่เสือ" จึงนำมาลงไว้ ต่อท้ายบทความนี้
วันนี้ พี่ตุ๊กตา ทนาย ณุมาพร พัฒนพงศธร สอบถามว่า การสร้างฐานรากของโรงเรือน ใต้ที่ดิน รุกล้ำที่ดินของผู้อื่น ครบ 10 ปี จะได้ภาระจำยอมโดยอายุความหรือไม่ ทนายน้อย ปราธูป ศรีกลับ และทนายเอก ขัตติยะ นวลอนงค์ เห็นว่าน่าสนใจ จึงช่วยกันเรียบเรียงบทความนี้ เป็นความรู้กฎหมายสู่ประชาชน
หลักกฎหมาย ป.พ.พ.
มาตรา 1382 บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยสงบ และ โดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลา ห้าปี ไซร้ ท่านว่า บุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์
มาตรา 1312 บุคคลใดสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดย สุจริตไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นเป็นเจ้าของโรงเรือนที่สร้างขึ้น แต่ต้องเสียเงินให้แก่เจ้าของที่ดินเป็นค่าใช้ที่ดินนั้น และจดทะเบียนสิทธิเป็นภารจำยอม ต่อภายหลังถ้าโรงเรือนนั้นสลายไปทั้งหมด เจ้าของที่ดินจะเรียกให้เพิกถอน การจดทะเบียนเสียก็ได้
ถ้าบุคคลผู้สร้างโรงเรือนนั้นกระทำการโดยไม่สุจริต ท่านว่าเจ้าของที่ ดินจะเรียกให้ผู้สร้างรื้อถอนไป และทำที่ดินให้เป็นตามเดิมโดยผู้สร้างเป็นผู้ ออกค่าใช้จ่ายก็ได้
คำถามจาก น้อง อสม. อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี มีดังนี้
1. เพื่อนบ้านสร้างฐานรากของบ้านรุกเข้ามาในที่ดิน เราจะเสียภาระจำยอมโดยอายุความหรือไม่
2. เพื่อนบ้านสร้างฐานรากของกำแพงรั้ว รุกเข้ามาในที่ดิน จะเสียภาระจำยอมโดยอายุความหรือไม่
พี่ตุ๊กตา ขออธิบายดังนี้ มาตรา 1312 แบ่งเป็น 2 วรรค
วรรคแรก กรณีสุจริต ผู้สร้างเป็นเจ้าของแต่ต้องเสียเงินให้แก่เจ้าของที่ดินเป็นค่าใช้ที่ดินและจดทะเบียนเป็นภารจำยอม แต่ถ้าภายหลังโรงเรือนนั้นสลายไปทั้งหมด เจ้าของที่ดินจะเรียนให้เพิกถอนการจดทะเบียนเสียก็ได้
วรรคสอง กรณีไม่สุจริต เจ้าของที่ดินมีสิทธิเรียกให้ผู้สร้างรื้อถอนไป โดยให้ทำที่ดินเป็นตามเดิม โดยผู้สร้างเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
ข้อสังเกต สิ่งที่จะได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1312 ต้องเป็นโรงเรือนซึ่งอาจจะเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของโรงเรือนก็ได้
ฎีกาที่ 1511/2542 วินิจฉัยว่า รั้วบ้านไม่ใช่โรงเรือนหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของโรงเรือน
ฎีกาที่ 1450/2520 วินิจฉัยว่า กำแพงก็ไม่ใช่โรงเรือน
ทนายน้อย ปราธูป ศรีกลับ ขออธิบายมาตรา 1382 ว่า
1. การได้ภารจำยอมโดยอายุความ ต้องกระทำโดยเปิดเผย ตามหลักเกณฑ์ของมาตรา 1382
ทนายเอก ขัตติยะ นวลอนงค์ น.บ.ท.62 ตอบคำถามนี้แทนพี่ตุ๊กตาว่า
1. การสร้างฐานรากของโรงเรือนใต้ที่ดินรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่น ไม่ได้กระทำโดยเปิดเผย จึงไม่ได้ภารจำยอมโดยอายุความ ทั้งนี้ ตามฎีกา 5238/2546
ตอบ
ตามฎีกาที่ 5238/2546 ไม่ได้ภารจำยอมโดยอายุความนะคะ
พี่น้องท่านใดมีปัญหาทำนองนี้ อย่าเป็นทุกข์อยู่คนเดียว ติดต่อพี่ตุ๊กตามานะคะ โทร. 098-915-0963 numaphon@gmail.com จะช่วยหาคำตอบให้ค่ะ ถ้าหาทนายไม่ได้ บอกมานะคะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5238/2546
ป.พ.พ. มาตรา 1382, 1401
จำเลยสร้างฐานรากของโรงเรือนซึ่งเป็นส่วนที่ฝังอยู่ใต้ดินรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์โดยมีเจตนาเพื่อซ่อนเร้นปกปิดการกระทำที่ไม่ชอบของตน จึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลยครอบครองที่ดินส่วนที่รุกล้ำของโจทก์โดยเปิดเผยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ประกอบมาตรา 1401 แม้จะมีการครอบครองมานานเท่าใด จำเลยก็ไม่ได้สิทธิภารจำยอมในที่ดินดังกล่าว
________________________________
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2539 จำเลยทั้งสองซึ่งมีที่ดินติดต่อกับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1817 ของโจทก์ ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์โดยก่อสร้างตอม่อ 7 ต้น ทำคานปูนและปักเสาเข็มคอนกรีตเสริมเหล็กสำหรับบ้านเลขที่ 195 ของจำเลยทั้งสองรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ประมาณ 0.50 เมตรโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้โจทก์ไม่สามารถปลูกสร้างบ้านซึ่งโจทก์ซื้ออุปกรณ์การก่อสร้างไว้แล้วเป็นเงิน 77,008 บาท และจ่ายค่าจ้างงวดแรกให้แก่ช่างไปแล้ว 29,000 บาท โจทก์เสียหายต้องปลูกสร้างบ้านในราคาสูงขึ้น เนื่องจากปัจจุบันค่าอุปกรณ์ก่อสร้างเพิ่มราคาขึ้นโจทก์ขอคิดค่าเสียหายส่วนนี้ 100,000 บาท รวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 206,008 บาทโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนตอม่อ คานปูนและเสาเข็มคอนกรีตเสริมเหล็กออกไปจากที่ดินของโจทก์แล้ว แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนตอม่อคานปูนและเสาเข็มคอนกรีตเสริมเหล็กในส่วนที่บุกรุกที่ดินของโจทก์ออกไป และให้ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 206,008 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยทั้งสองไม่ทราบว่าผู้รับจ้างได้ก่อสร้างตอม่อ คานปูน เสาเข็มคอนกรีตรุกล้ำที่ดินของโจทก์ ทั้งนางสมศรี บำเพ็ญ เจ้าของที่ดินขณะนั้นมิได้ทักท้วงหรือโต้แย้งคัดค้านการก่อสร้างดังกล่าว จำเลยทั้งสองเพิ่งทราบเหตุบุกรุกเมื่อโจทก์แจ้งให้ทราบ จำเลยทั้งสองสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์โดยสุจริตจำเลยทั้งสองจึงเป็นเจ้าของรากฐานตอม่อในส่วนที่รุกล้ำ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 วรรคแรก ทั้งเมื่อนับจากวันที่จำเลยทั้งสองก่อสร้างจนถึงวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นเวลาเกิน 10 ปีแล้ว จำเลยทั้งสองจึงภารจำยอมโดยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1401 และโจทก์ไม่ได้เสียหายแต่อย่างใดจึงไม่มีอำนาจเรียกค่าเสียหายส่วนนี้ ขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์จดทะเบียนภารจำยอมในส่วนของตอม่อ คานปูนและเสาเข็มคอนกรีตเสริมเหล็กของจำเลยทั้งสองที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินดังกล่าว หากโจทก์ไม่ยอมให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยทั้งสองก่อสร้างตอม่อ คานปูนและเสาเข็มคอนกรีตเสริมเหล็กรุกล้ำที่ดินของโจทก์ซึ่งซื้อมาจากนางสมศรี โดยไม่สุจริต เนื่องจากจำเลยทั้งสองทราบแนวเขตที่ดินของจำเลยทั้งสองดีแล้ว จำเลยทั้งสองไม่ได้ครอบครองที่ดินของโจทก์โดยสงบเปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของ ย่อมไม่อาจอ้างเหตุภารจำยอมได้ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรื้อถอนตอม่อคานปูนและเสาเข็มคอนกรีตเสริมเหล็กเฉพาะส่วนที่รุกล้ำที่ดินของโจทก์ออกไป และทำให้ที่ดินของโจทก์ให้อยู่ในสภาพเดิม โดยจำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายกับให้ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์10,000 บาท และให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้2,000 บาท สำหรับค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คำขอของโจทก์นอกจากนี้และฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบรับกันฟังได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1817 เลขที่ดิน 347 ตำบลพิปูน อำเภอพิปูน จังหวัดนครศรีธรรมราช จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1782 เลขที่ดิน 326 ตำบลพิปูน อำเภอพิปูน จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ดินของโจทก์อยู่ติดต่อกับที่ดินของจำเลยที่ 2 ทางด้านทิศตะวันตกจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นสามีภริยากันปลูกสร้างโรงเรือนใช้เป็นบ้านพักอาศัยเลขที่ 195บนที่ดินของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวเต็มเนื้อที่ตามภาพถ่ายหมาย จ.1 ภาพที่ 1 และที่ 2 โดยส่วนที่อยู่บนพื้นดินเป็นอาคารโรงเรือนคือผนังโรงเรือนและกำแพงโรงเรือน ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ ส่วนใต้พื้นดินเป็นฐานรากคือตอม่อ คานปูนและเสาเข็มคอนกรีตเสริมเหล็กตามที่โจทก์ฟ้อง ซึ่งเป็นส่วนที่รองรับตัวโรงเรือนที่อยู่บนพื้นดินรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ประมาณ 0.50 เมตร คดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองสร้างฐานรากของโรงเรือนคือตอม่อคานปูนและเสาเข็มคอนกรีตเสริมเหล็กดังกล่าวรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์โดยสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1312 วรรคแรก หรือไม่ จำเลยทั้งสองได้ภารจำยอมในที่ดินที่รุกล้ำโดยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1401 หรือไม่.....
พิเคราะห์แล้ว ปัญหาข้อแรกที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองสร้างฐานรากของโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์โดยสุจริตนั้น ได้ความจากนายเฉลิมศักดิ์ปรีชา ผู้รับเหมาก่อสร้างโรงเรือนและเป็นพยานจำเลยทั้งสองว่า ขณะมีการก่อสร้างขุดฐานรากเพื่อฝังตอม่อ จำเลยทั้งสองเป็นผู้นำชี้แนวเขตเพื่อขุดดินนอกจากนี้ตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.3 นายเฉลิมศักดิ์ได้ให้การยืนยันว่า จำเลยทั้งสองเป็นผู้นำชี้แนวเขตที่ดินให้ทำการก่อสร้างทั้งเป็นผู้ควบคุมดูแลการก่อสร้างมาโดยตลอด ประกอบกับจำเลยที่ 1 เองก็เบิกความยอมรับว่าก่อนมีการสร้างได้ตีผังบริเวณที่จะก่อสร้างให้นายเฉลิมศักดิ์ดูก่อนทั้งยอมรับด้วยว่าจำเลยทั้งสองปลูกสร้างโรงเรือนเต็มเนื้อที่ ดังนั้นที่จำเลยทั้งสองเบิกความว่าไม่เกี่ยวข้องรู้เห็นในการก่อสร้างโรงเรือนดังกล่าวจึงฟังไม่ขึ้นข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่าจำเลยทั้งสองสร้างรากฐานของโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริตตามฟ้องจริง
ปัญหาข้อต่อมาที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองได้สิทธิภารจำยอมในที่ดินส่วนที่รุกล้ำดังกล่าวโดยอายุความนั้น เห็นว่าการที่จำเลยทั้งสองสร้างฐานรากของโรงเรือนซึ่งเป็นส่วนที่ฝังอยู่ใต้ดินรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์โดยมีเจตนาเพื่อซ่อนเร้นปกปิดการกระทำที่ไม่ชอบของตน จึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลยทั้งสองครอบครองที่ดินส่วนที่รุกล้ำของโจทก์โดยเปิดเผย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382ประกอบ มาตรา 1401 ดังนั้น แม้จะมีการครอบครองมานานเท่าใด จำเลยทั้งสองก็ไม่ได้สิทธิภารจำยอมในที่ดินดังกล่าว ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองครอบครองที่ดินส่วนที่รุกล้ำเกินกว่า 1 ปี แล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเอาคืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 นั้น ปรากฏว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่าไว้ในศาลชั้นต้น แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ไว้ก็เป็นการมิชอบ ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งสองรับผิดต่อโจทก์มานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองทุกข้อฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน
( ประทีป ปิติสันต์ - วิชา มหาคุณ - สุภิญโญ ชยารักษ์ )
หมายเหตุ
จำเลยปลูกสร้างตอม่อ คานปูนและเสาเข็มคอนกรีตเสริมเหล็กซึ่งเป็นรากฐานที่อยู่ใต้ดินรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริต จำเลยจึงต้องรื้อถอนออกไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 วรรคสอง แต่จำเลยปลูกสร้างมานานเกิน 10 ปี จึงมีปัญหาที่อาจปรับได้กับการได้ภารจำยอมตามมาตรา 1401 ประกอบมาตรา 1382 ซึ่งตามมาตรา 1382 จะต้องกระทำโดยเปิดเผยเมื่อฐานรากอยู่ใต้ดินมองไม่เห็น จึงไม่เป็นการกระทำโดยเปิดเผย จำเลยจึงไม่ได้สิทธิภารจำยอม
ไพโรจน์ วายุภาพ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1511/2542
ป.พ.พ. มาตรา 4, 204, 1312
ป.วิ.พ. มาตรา 142
เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 94068 ของโจทก์และโฉนดเลขที่ 94012 พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลย เป็นที่ดินแปลงเดียวกันซึ่งโจทก์ซื้อ มาจากน. โดยมีสิ่งปลูกสร้างอยู่ในที่ดินมาก่อนแล้ว ต่อมาโจทก์นำที่ดินโฉนดเลขที่ 94012 ไปจดทะเบียนจำนองและมีการ บังคับจำนอง ซึ่งต.เป็นผู้ประมูลได้จากนั้นต.ขายที่ดินดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลย ปรากฏว่าสิ่งปลูกสร้าง บางส่วนคือส่วนหนึ่งของบ้านเลขที่ 17 และรั้วบ้านรุกล้ำที่ดิน โฉนดเลขที่ 94068 ของโจทก์ กรณีจึงไม่เข้า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 เพราะการรุกล้ำมิได้ เกิดจากจำเลยสร้างขึ้น เมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้จึงต้องนำมาตรา 1312 ซึ่งเป็นบทกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่งมาปรับ ตามมาตรา 4 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้นโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยให้รื้อส่วนของบ้านเลขที่ 17ที่รุกล้ำ แต่มีสิทธิเรียกเงินเป็นค่าใช้ส่วนแดนกรรมสิทธิ์และดำเนินการจดทะเบียนสิทธิเป็นภารจำยอม เมื่อรั้วบ้าน ที่รุกล้ำนั้นมิใช่การรุกล้ำของโรงเรือนหรือส่วนหนึ่งส่วนใด ของโรงเรือนอันจะปรับใช้มาตรา 1312 ได้ จำเลยจึงต้อง รื้อรั้วบ้านที่รุกล้ำ โจทก์มีคำขอให้จำเลยรื้อสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำออกไป รั้วบ้าน ก็อยู่ในความหมายของสิ่งปลูกสร้างในที่ดินเช่นเดียวกับโรงเรือน การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อรั้วบ้านที่รุกล้ำ จึงหาได้ เป็นการพิพากษาเกินคำฟ้องไม่ แม้ก่อนฟ้องคดีนี้จำเลยยังไม่ตกเป็นผู้ผิดนัด แต่เมื่อโจทก์ ฟ้องเรียกค่าใช้ที่ดินจากจำเลยแล้ว จำเลยปฏิเสธไม่ยอมชำระ ค่าใช้ที่ดินแก่โจทก์ ย่อมถือว่าจำเลยตกเป็นผู้ผิดนัด นับแต่วันฟ้องแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1450/2520
ป.พ.พ. มาตรา 4, 420, 1310, 1312, 1314
ป.วิ.พ. มาตรา 142, 177
เดิมที่ดินแปลงใหญ่ทั้งโฉนดเป็นของจำเลยร่วม จำเลยร่วมให้ผู้รับเหมาก่อสร้างตึกแถว 10 ห้อง พร้อม ๆ สร้างห้องแถวในที่ดินดังกล่าวผู้รับเหมาได้ทำรั้วกำแพงก่ออิฐถือปูนกว้าง 1 เมตร ยาว 3.50 เมตร แทนรั้วสังกะสีเดิมติดด้านหลังตึกแถวทุกห้อง จำเลยร่วมไม่ได้ทักท้วงห้ามปรามอย่างใด แสดงว่าจำเลยร่วมยินยอมให้ผู้รับเหมาทำรั้วกำแพงได้ ฉะนั้น การที่ผู้รับเหมาก่อสร้างกำแพงหลังตึกดังกล่าวจึงเป็นการกระทำโดยสุจริตไม่เป็นการละเมิด ต่อมาจำเลยร่วมแบ่งแยกโฉนดโอนขายที่ดินนอกเขตที่สร้างตัวตึกแถวให้โจทก์ ขายตึกแถวเฉพาะที่ดินที่สร้างตึกแถวให้บุคคลอื่นและ ส.ส.ขายตึกแถวห้องเลขที่ 464/2 พร้อมทั้งที่ดินให้จำเลยที่ 1 หลังจากโจทก์ขอให้เจ้าพนักงานกรมที่ดินมารังวัดสอบเขตแล้วความจึงปรากฏว่า รั้วกำแพงด้านหลังตึกแถวทุกห้องรวมทั้งห้องของจำเลยที่ 1 ด้วยก่อสร้างในที่ดินของโจทก์ ในกรณีเช่นนี้ไม่มีบทกฎหมายมาตราใดที่จะยกขึ้นมาปรับคดีได้โดยตรง ในการวินิจฉัยคดีจึงต้องอาศัยเทียบบทกฎหมายใกล้เคียงตามมาตรา 4 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และบทกฎหมายใกล้เคียงที่จะปรับกับข้อเท็จจริงคดีนี้คือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1310 ประกอบด้วยมาตรา 1314 ซึ่งบัญญัติให้โจทก์เจ้าของที่ดินเป็นเจ้าของสิ่งก่อสร้างคือรั้วกำแพง แต่ต้องใช้ค่าแห่งที่ดินเพียงที่เพิ่มขึ้นเพราะสร้างรั้วกำแพงนั้นให้แก่จำเลย ดังนี้โจทก์จะขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนรั้วกำแพงและเรียกค่าเสียหายไม่ได้ ทั้งจะให้จำเลยชำระเงินค่าใช้ที่ดินแก่โจทก์ก็ไม่ได้ เพราะรั้วกำแพงไม่ใช่โรงเรือน กรณีไม่เข้ามาตรา 1312 จำเลยไม่มีสิทธิใช้ที่ดินที่ก่อสร้างและภายในเขตรั้วกำแพงซึ่งเป็นที่พิพาทเพราะเป็นของโจทก์และคดีนี้จะบังคับให้โจทก์ใช้ค่าแห่งที่ดินที่เพิ่มขึ้น เพราะสร้างรั้วกำแพงนั้นให้แก่จำเลยก็ไม่ได้เช่นกัน เพราะจำเลยไม่ได้ฟ้องแย้งและไม่มีประเด็นดังกล่าว
บันทึกเหตุการณ์ ม็อบ กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ ประกาศโค่นระบอบทักษิณ 27 พฤศจิกายน 2556 กรุงเทพฯ ไม่สงบ
1. จดหมายเปิดผนึก นายโคทม อารียา
2. บทนำ มติชน วันที่ 29 พฤศจิกายน 2556 รักษาเป้าหมาย สงบสันติ
3. คอลัมน์ หนังสือพิมพ์ มติชน วันที่ 29 พฤศจิกายน 2556 บทบาทสุเทพ การปฏิวัติประชาชน บทบาท คนขี่เสือ


