ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร น.บ.ท.64 ผู้เรียบเรียง
ยกหูถึง "พี่ตุ๊กตา"
เรื่องที่ 60 เตรียมล้มละลาย ทำอย่างไร ไม่ผิดฐาน โกงเจ้าหนี้ ป.อ. 349, 350
วันนี้ 3 ธันวาคม 2556 เวลา 14.00 น. ม็อบ กปปส. หรือ ม็อบ สุเทพ เทือกสุบรรณ ประกาศชัยชนะเบื้องต้น ที่สามารถยึดกองบัญชาการตำรวจนครบาล และทำเนียบรัฐบาลได้ สังคมไทย ผ่อนคลายจากความตึงเครียดไปได้มาก ประชาชนหลายคน ตั้งความหวังว่า การเมืองไทย จะหยุดวุ่นวาย เนื่องในวันเฉลิมพระชนม์พรรษา 5 ธันวาคม 2556 ซึ่งในหลวงคงประทับที่วังไกลกังวล หัวหิน
ในรอบปี 2556 พี่ตุ๊กตา ทนาย ณุมาพร พัฒนพงศธร และทีมทนาย Thai Law Consult ได้ให้คำแนะนำ นักธุรกิจหนุ่ม ๆ สาว ๆ หลายท่าน ที่ธุรกิจมีปัญหา อาจถึงขั้นถูกฟ้องล้มละลาย ถามว่า ถ้าต้องเตรียมตัวล้มละลาย ทำอย่างไร ไม่ผิดฐานโกงเจ้าหนี้ พี่ตุ๊กตา จึงร่วมกับ ทนายเอก ขัตติยะ นวลอนงค์ , ทนายน้อย ปราธูป ศรีกลับ , ทนายสมบัติ บุญสุทัศน์ ช่วยกันเรียบเรียงบทความนี้ เป็นความรู้กฎหมายสู่ประชาชน
หลักกฎหมาย ป.อ.
มาตรา 349 "ผู้ใดเอาไปเสีย ทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า หรือทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์อันตนจำนำไว้แก่ผู้อื่น ถ้าได้กระทำ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้รับจำนำ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน สองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
มาตรา 350 "ผู้ใดเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระ หนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ซึ่งได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาล ให้ชำระหนี้ ย้ายไปเสีย ซ่อนเร้นหรือโอนไปให้ผู้อื่นซึ่งทรัพย์ใดก็ดี แกล้งให้ตนเองเป็นหนี้จำนวนใดอันไม่เป็นความจริงก็ดี ต้องระวาง โทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
ThaiLawConsult ขออธิบายเฉพาะ ป.อ. มาตรา 350 ดังนี้
1. ประเภทแรก - แกล้งเจ้าหนี้มิให้ได้รับชำระหนี้โดยการยักย้ายทรัพย์ หรือแกล้งให้ตนเป็นหนี้
2. ประเภทที่สอง - แกล้งให้เป็นหนี้
ความผิดประเภทที่ 1 - แกล้งเจ้าหนี้มิให้ได้รับชำระหนี้โดยการยักย้ายทรัพย์ หรือแกล้งให้ตนเป็นหนี้
องค์ประกอบภายนอก
- ผู้ใด
- ย้ายไปเสีย ซ่อนเร้น หรือ โอนไปให้แก่ผู้อื่น
- ซึ่งทรัพย์ใด
องค์ประกอบภายใน
- เจตนาธรรมดา (ประสงค์ต่อผล หรือ เล็งเห็นผล)
- เจตนาพิเศษ "เพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตน หรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ทั้งหมด หรือแต่บางส่วน"
พี่ตุ๊กตา ตั้งข้อสังเกตดังนี้
- ต้องมีหนี้ ระหว่าง เจ้าหนี้ กับ ลูกหนี้ เสียก่อน
- ความหมายของ เจ้าหนี้ ไม่ได้หมายถึงเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเท่านั้น (ฎีกาที่ 8774/2550)
- แต่เจ้าหนี้ในมูลละเมิดซึ่งอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาล ยังไม่แน่นอนว่าจำเลยต้องรับผิดหรือไม่ จำนวนเท่าใด ผู้ทำละเมิดโอนที่ดินไปในระหว่างพิจารณา ไม่เป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ (ฎีกาที่ 6304/2539)
- ถูกฟ้องให้โอนกรรมสิทธิที่ดิน โดยการครอบครองปรปักษ์ ยังไม่ถือว่ามี "หนี้" จะต้องชำระแก่เจ้าหนี้
- หนี้นั้นต้องฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ด้วย เช่น มีสัญญาเงินกู้
- โจทก์จำเลยยังโต้เถียงกันถึงความเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท และมีการฟ้องเป็นคดีแพ่ง ดังนี้ เมื่อศาลยังมิได้พิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท โจทก์ยังไม่มีฐานะเป็นเจ้าหนี้ของจำเลย ตาม ป.อ. มาตรา 350 การที่จำเลยโอนที่ดินพิพาทไปในระหว่างพิจารณาคดีแพ่ง จึงไม่เป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ (ฎีกาที่ 10314/2550)
- คำว่า "หนี้" ที่บัญญัติไว้ใน ม.350 มิได้หมายถึง "หนี้เงิน" เท่านั้น แต่ยังรวมถึง หนี้ ในการโอนขายที่ดินตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินด้วย
ทนายเอก ขัตติยะ นวลอนงค์ ตั้งข้อสังเกต คำว่า "เพื่อไม่ให้เจ้าหนี้ ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน" ดังนี้
- การโอนทรัพย์สินในการประกอบธุรกิจการค้าของลูกหนี้ตามปกติ มิใช่เพื่อเจตนามิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ ไม่เป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ (ฎีกาที่ 452/2541)
- การขายทรัพย์สินเพื่อปลดเปลื้องภาระหนี้จำนองตามปกติ มิใช่มีเจตนาเพื่อมิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ ไม่เป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ (ฎีกาที่ 4183/2542)
- ที่ดินที่จำเลยขายเป็นที่ดินที่ติดจำนองกับธนาคาร ถึงอย่างไรธนาคารก็มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากที่ดินนั้นก่อนเจ้าหนี้อื่น เมื่อปรากฏว่าจำเลยขายที่ดินไปในราคาที่สมควรแล้วนำเงินไปชำระให้แก่ธนาคาร จึงไม่ทำให้เจ้าหนี้อื่นเสียเปรียบ การกระทำของจำเลยจึงไม่มีเจตนาเพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้รับชำระหนี้ จำเลยไม่มีความผิด
พี่ตุ๊กตาขอเพิ่มเติมดังนี้
- ผู้รับโอนทรัพย์อาจมีความผิด ตามมาตรา 350 ได้ในฐานะตัวการร่วม ตามาตรา 83 (ฏีกาที่ 143/2517 และ 271/2522)
- ผู้ที่รับสมอ้างว่าเป็นเจ้าหนี้ ถือว่าเป็นตัวการร่วมในความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ (ฎีกาที่ 1474/2517)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 271/2522
ป.อ. มาตรา 350
ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้นั้น ไม่จำต้องกระทำต่อเจ้าหนี้ของตนเท่านั้น แม้กระทำต่อเจ้าหนี้ของบุคคลอื่นก็มีความผิดฐานนี้ได้ และการที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินที่ได้รับโอนจากบิดามารดาของตนซึ่งโจทก์จะขอเพิกถอนการโอนเพื่อบังคับชำระหนี้ต่อไปให้กับจำเลยที่ 2 โดยจำเลยทั้งสองไม่ได้เป็นลูกหนี้โจทก์ก็อยู่ในความหมายแห่งความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 ด้วย แม้ว่าการโอนที่ดินดังกล่าวไม่ทำให้สิทธิของโจทก์ที่จะบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้หมดไปก็ตามก็เป็นความผิดฐานนี้ได้หากฟังได้ว่าจำเลยกระทำเพื่อมิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งเจ้าหนี้ได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ กล่าวคือ กฎหมายมุ่งถึงเจตนาของจำเลยที่จะโกงเจ้าหนี้ โดยไม่คำนึงว่าสิทธิการบังคับชำระหนี้ของโจทก์ที่มีต่อลูกหนี้ ของตนจะยังมีอยู่หรือไม่
________________________________
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นฟังว่า การที่บิดามารดาจำเลยที่ 1 เป็นหนี้เงินกู้โจทก์โจทก์ได้ฟ้องบิดามารดาจำเลยที่ 1 และจะยึดที่ดินของบิดามารดาจำเลยที่ 1ชำระหนี้บิดามารดาจำเลยที่ 1 ได้ยกที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 โจทก์จึงฟ้องบิดามารดาจำเลยที่ 1 และตัวจำเลยที่ 1 ฐานโกงเจ้าหนี้ ศาลพิพากษาลงโทษไปแล้ว โจทก์จะฟ้องจำเลยที่ 1 ให้โอนที่ดินให้เป็นของบิดามารดาจำเลยที่ 1 ตามเดิม จำเลยที่ 1 จึงขายที่ดินให้จำเลยที่ 2 เช่นนี้เห็นได้ว่าขณะจำเลยที่ 1โอนขายที่ดินให้จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 มิใช่ลูกหนี้โจทก์ และการโอนดังกล่าวก็ไม่ทำให้สิทธิของโจทก์ที่จะบังคับชำระหนี้จากบิดามารดาจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้โจทก์หมดไป ไม่จำต้องวินิจฉัยเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้นั้น ไม่จำต้องกระทำต่อเจ้าหนี้ของตนเท่านั้น แม้กระทำต่อเจ้าหนี้ของบุคคลอื่นก็มีความผิดฐานนี้ได้ และการที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินที่ได้รับโอนจากบิดามารดาของตนซึ่งโจทก์จะขอเพิกถอนการโอนเพื่อบังคับชำระนี้ต่อไปให้กับจำเลยที่ 2 โดยจำเลยทั้งสองไม่ได้เป็นลูกหนี้โจทก์ก็อยู่ในความหมายของมาตรา 350นี้ด้วย ส่วนที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการที่จำเลยที่ 1 โอนขายที่ดินซึ่งรับโอนมาจากลูกหนี้ให้กับจำเลยที่ 2 ไป ไม่ทำให้สิทธิของโจทก์ที่จะบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้หมดไป การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นความผิดตามฟ้องนั้นเห็นว่าสิทธิที่จะบังคับชำระหนี้จะหมดไปหรือไม่ ไม่ใช่องค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 หากฟังได้ว่าจำเลยกระทำเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผ่อนได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งเจ้าหนี้ได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ ได้กระทำการดังที่กล่าวไว้ในบทมาตรานี้แล้วจำเลยก็ต้องมีความผิด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งกฎหมายมุ่งถึงเจตนาของจำเลยที่จะโกงเจ้าหนี้ โดยรู้อยู่ว่าเจ้าหนี้ได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้อยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกับปัญหาว่าสิทธิการบังคับคดีจะยังมีอยู่หรือไม่
คดีนี้ ศาลชั้นต้นยกเอาข้อเท็จจริงที่ได้ความเบื้องต้นจากคำพยานโจทก์ส่วนหนึ่ง นำไปวินิจฉัยข้อกฎหมาย พิพากษายกฟ้องโจทก์ มิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงตามประเด็นข้ออ้างตามฟ้องของโจทก์ให้สิ้นกระแสร์ความ และศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริง คงฟังข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับศาลชั้นต้น จึงไม่สมควรที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยข้อเท็จจริงชี้ขาดคดีในชั้นนี้
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานทั้งหมด แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปความ
( สงวน สิทธิไชย - ชุบ วีระเวคิน - สุไพศาล วิบุลศิลป์ )
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1474/2517
ป.อ. มาตรา 83, 91, 177, 180, 350
ป.วิ.อ. มาตรา 2(4)
จำเลยที่ 1 แกล้งให้ตนเองเป็นหนี้จำเลยที่ 2 อันไม่เป็นความจริง ย่อมมีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ ส่วนจำเลยที่ 2 ผู้รับสมอ้างเป็นเจ้าหนี้ ถือว่าได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย
ในการพิจารณาคำขอเฉลี่ยทรัพย์ จำเลยทั้งสองเบิกความว่ามีหนี้สินต่อกัน อันเป็นความเท็จ จึงมีความผิดฐานเบิกความเท็จ และจำเลยที่ 2 ผู้อ้างอิงสัญญากู้เป็นพยานหลักฐาน มีความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จอีกด้วย
โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษา เป็นผู้เสียหาย มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองในความผิดฐานโกงเจ้าหนี้เบิกความเท็จ และนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จได้
________________________________
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเจตนาจะไม่ให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ได้สมคบกันทำสัญญากู้ว่าจำเลยที่ 1 กู้เงินไปจากจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 ได้ฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้จากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ยอมใช้เงินตามฟ้อง ศาลพิพากษาตามยอมจำเลยที่ 2 ได้เอาหนี้ตามคำพิพากษาที่เกิดจากการสมยอมนี้มาขอเฉลี่ยเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ซึ่งโจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 อยู่ตามคำพิพากษา ศาลมีคำสั่งให้ไต่สวนจำเลยที่ 2 ได้อ้างสัญญากู้ดังกล่าวเป็นพยาน และจำเลยทั้งสองได้สาบานตนเบิกความเท็จในข้อสำคัญแห่งคดีว่าจำเลยที่ 1 ได้กู้เงินจำเลยที่ 2 ไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 90, 177, 180, 350
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ และว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองทำสัญญากู้โดยสมยอม พิพากษากลับเป็นว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดฐานร่วมกันโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350, 83 กระทงหนึ่งฐานเบิกความเท็จตามมาตรา 177 วรรคแรก อีกกระทงหนึ่ง และจำเลยที่ 2 มีความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานเท็จตามมาตรา 180 วรรคแรก อีกกระทงหนึ่งด้วย ให้จำคุกกระทงละ 1 เดือน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ 1 ได้นำยึดสวนยางพาราของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดระหว่างที่เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการยึดทรัพย์เพื่อขายทอดตลาดจำเลยที่ 2 ฟ้องเรียกเงินกู้และดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 ตามสัญญากู้ซึ่งจำเลยทั้งสองได้คบคิดกันทำขึ้น โดยที่มิได้มีหนี้สินต่อกัน จำเลยที่ 1 ได้ประนีประนอมยอมความใช้เงินตามฟ้องให้แก่จำเลยที่ 2 ศาลพิพากษาตามยอม จำเลยที่ 2 จึงร้องขอเฉลี่ยเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยที่ 1 โจทก์คัดค้านว่าเป็นหนี้สมยอม ในชั้นไต่สวนจำเลยทั้งสองได้สาบานตัวเบิกความเป็นพยานว่าเป็นหนี้กันตามสำเนาสัญญากู้ท้ายฟ้องในคดีก่อนจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ 1 แกล้งให้ตนเองเป็นหนี้จำเลยที่ 2 อันไม่เป็นความจริง จำเลยที่ 1 ย่อมมีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 ส่วนจำเลยที่ 2 ผู้รับสมอ้างเป็นเจ้าหนี้ ถือได้ว่าได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วยจึงมีความผิดฐานเป็นตัวการเช่นเดียวกัน ในการพิจารณาคำขอเฉลี่ยทรัพย์ จำเลยทั้งสองเบิกความเท็จว่าเป็นหนี้สินต่อกัน จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคแรกและจำเลยที่ 2 ผู้อ้างอิงสัญญากู้เป็นพยานหลักฐาน ยังมีความผิดตามมาตรา 180 วรรคแรกอีกด้วย โจทก์เป็นผู้เสียหาย จึงฟ้องคดีนี้ได้
พิพากษายืน
( อุดม ทันด่วน - พิชัย รชตะนันทน์ - ศวิต สมหวัง )
ทนายน้อย ปราธูป ศรีกลับ ขออธิบายคำว่า "เจ้าหนี้ได้ใช้ หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาล" ดังนี้
- การกระทำเพื่อมิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ อันจะเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ ตามมาตรา 350 ต้องปรากฏว่า เจ้าหนี้นั้น ได้ใช้ หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ ถ้ายังไม่ปรากฏว่า เจ้าหนี้ได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ แม้ลูกหนี้โอนทรัพย์ของตนเพื่อหลีกเลี่ยงการบังคับคดี ก็ไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้ ต้องไปฟ้องร้องกันในทางแพ่ง (ฎีกาที่ 184/2541)
- การใช้สิทธิทางศาล หมายถึง ฟ้องร้องเป็นคดีแพ่ง หากฟ้องเป็นคดีอาญา ไม่ถือว่าเป็นการใช้สิทธิทางศาล ตามมาตรา 350 แต่กลับแสดงว่า ยังไม่ใช้สิทธิทางศาล เพราะเป็นการหาหลักประกันเท่านั้นเอง จึงไม่เป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ (ฎีกาที่ 1054/2507)
- อย่างไรก็ตาม หากพนักงานอัยการฟ้องคดีอาญา และมีคำขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ โดยผู้เสียหายเข้าเป็นโจทก์ร่วมด้วย เท่ากับผู้เสียหายได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยชำระหนี้แล้ว (ฎีกาที่ 3973/2551)
- หากเป็นทรัพย์สินของผู้อื่น ไม่ใช่ลูกหนี้ จึงไม่ผิดตามมาตรา 350 (ฎีกาที่ 1736-1737/2503
ทนายสมบัติ บุญสุทัศน์ ให้ความเห็นว่า
- ลูกหนี้ต้องรู้ว่าเจ้าหนี้ได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาล ให้ลูกหนี้ชำระหนี้แล้ว หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ลูกหนี้ชำระหนี้ มิฉะนั้น ถือว่าลูกหนี้ไม่มีเจตนา (ฎีกาที่ 5175/2547)
- ผมขอย้ำอีกทีว่า ที่เจอบ่อยๆ คือ ลูกหนี้แกล้งให้ตนเองเป็นหนี้ในจำนวนที่ไม่เป็นจริง เช่น ลูกหนี้สมยอมกับบุคคลอื่นแกล้งเป็นหนี้บุคคลอื่น โดยไม่เป็นความจริง แล้วให้ผู้นั้นมาฟ้องลูกหนี้ต่อศาล มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน และศาลพิพากษาตามยอม ผิดฐานโกงเจ้าหนี้ (ฎีกาที่ 1954/2533)
- "ซ่อนเร้น" คือ การปกปิดไม่ให้รู้ว่าทรัพย์อยู่ที่ไหน ซึ่งไม่จำต้องย้ายที่ตั้งของทรัพย์ก็ได้ (ฎีกาที่ 92/2522 วินิจฉัยว่า การเปลี่ยนป้ายชื่อบริษัท ไม่ใช่เป็นการซ่อนเร้น อันจะเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้)
- "โอนให้ผู้อื่น" หมายถึง โอนกรรมสิทธิ์ (ฎีกาที่ 5367/2551 วินิจฉัยว่า จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้ ท. โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อมิให้โจทก์ซึ่งได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลได้รับชำระหนี้ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 350)
- ผมขอแนะนำให้พี่ตุ๊กตา นำฎีกา 9202/2553 มาลงไว้
ทนายเตี้ย สุภิต บุดสีดี ให้คำแนะนำว่า
- ผู้ค้ำประกัน เอาทรัพย์สินอย่างหนึ่งมาวางศาล เพื่อประกันการชำระหนี้ในคดีแพ่ง ต่อมาโอนทรัพย์สินอย่างอื่นไป ไม่ถือว่ามีเจตนาเพื่อมิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ (ฎีกาที่ 1110/2507)
- การโอนทรัพย์สินที่จำนอง ไม่ทำให้เจ้าหนี้จำนองไม่ได้รับชำระหนี้ เพราะจำนองย่อมตกติดไปกับทรัพย์ (ฎีกาที่ 1074/2511)
- ถ้าเจ้าหนี้ยินยอมด้วยในการโอน จะถือว่าเป็นการโอนเพื่อมิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้หาได้ไม่ (ฎีกาที่ 411/2508)
- การโอนทะเบียนรถยนต์ เป็นเพียงหลักฐานแสดงว่าใครเป็นเจ้าของและมีสิทธิใช้รถ ซึ่งเป็นมาตรการในการควบคุมการใช้รถ ไม่ใช่เป็นหลักฐานการโอนกรรมสิทธิ์
ความผิดประเภทที่ 2 - แกล้งให้เป็นหนี้
องค์ประกอบภายนอก
- ผู้ใด
- แกล้งให้ตนเองเป็นหนี้จำนวนใด อันไม่เป็นความจริง
องค์ประกอบภายใน
- เจตนาธรรมดา (ประสงค์ต่อผล หรือ เล็งเห็นผล)
- เจตนาพิเศษ (เพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตน หรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ทั้งหมด หรือแต่บางส่วน)
อาจารย์เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์ อธิบายไว้ในหนังสือ กฎหมายอาญา ภาคความผิด เล่ม 3 ดังนี้
แกล้งให้ตนเป็นหนี้ จำนวนใดอันไม่เป็นความจริง ได้แก่การแสดงเจตนาลวง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 155 วรรคหนึ่ง เช่น นายแดง ลูกหนี้นายขาว ได้สมคบกับนายเหลือง ทำสัญญากู้ยืมเงิน โดยระบุว่านายแดงได้กู้เงินไปจากนายเหลือง โดยมิได้กู้และรับเงินกันจริง หรือแกล้งทำหนังสือสัญญาซื้อขาย โดยระบุว่า ได้รับของที่ซื้อมาแล้ว แต่ยังไม่ได้ชำระราคา ทั้งๆที่ความจริงไม่ได้รับของมาเลย เช่นนี้ หากนายแดงกระทำไปเพื่อมิให้นายขาวเจ้าหนี้ของตนได้รับชำระหนี้ทั้งหมด หรือแต่บางส่วน นายแดงก็มีความผิดตามมาตรา 350 ในส่วนนี้ ซึ่งเป็นความผิดสำเร็จทันทีที่แกล้งเป็นหนี้โดยมีเจตนาพิเศษดังกล่าว
มีข้อสังเกตว่า นายเหลืองซึ่งสมคบกับนายแดง จะมาฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้จากนายแดงไม่ได้ เพราะสัญญากู้ดังกล่าวเป็นโมฆะ
อย่างไรก็ตาม หากนายเหลืองโอนสิทธิเรียกร้อง กล่าวคือ เอาสัญญากู้โอนให้นายม่วง ซึ่งเป็นบุคคลที่สาม โดยนายม่วงจ่ายค่าตอบแทน โดยคิดหักส่วนลดให้นายเหลือง หากนายม่วงไม่ทราบความจริงเรื่องเจตนาลวง ระหว่างนายแดงและนายเหลือง นายม่วงก็ฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้จากนายแดงได้ (ป.พ.พ. มาตรา 155 วรรคหนึ่ง)
อย่างไรก็ตาม ในกรณีของนายแดง แม้ในที่สุดจะถูกนายม่วงฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้ นายแดงก็ไม่พ้นจากความผิดตามมาตรา 350 เพราะการกระทำเป็นความผิดสำเร็จตั้งแต่ขณะที่ทำสัญญากู้ดังกล่าวกับนายเหลืองแล้ว โดยเป็นความผิดสำเร็จทันทีที่มีเจตนาพิเศษ เพื่อมิให้นายขาวเจ้าหนี้ของตนได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน
พี่ตุ๊กตา ขอเน้นว่า ทนายความของจำเลย มีข้อต่อสู้ดังนี้
- หากขาดเจตนาพิเศษ "เพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่น ได้รับชำระหนี้ทั้งหมด หรือแต่บางส่วน" การกระทำก็ไม่เป็นความผิด
- ฎีกาที่ 1181/2505 การที่ลูกหนี้เลิกห้างหุ้นส่วนเดิม และขยายกิจการตั้งบริษัทใหม่ มีทุนมากขึ้น ยังถือไม่ได้ว่า ลูกหนี้มีเจตนาโอนหรือย้ายทรัพย์เพื่อมิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้
- อย่าลืมว่า ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ ป.อ. มาตรา 349, 350 เป็นความผิดอันยอมความได้
- ดังนั้น เจตนาพิเศษ ตามมาตรา 350 บัญญัติไว้ เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องนำมาพิจารณาในการวินิจฉัยว่า ลูกหนี้จะผิดมาตรา 350 หรือไม่ เพราะมิฉะนั้นจะกลายเป็นว่า หากลูกหนี้จะถูกฟ้องบังคับชำระหนี้แล้ว ลูกหนี้ทำอะไรกับทรัพย์สินตนไม่ได้เลย ซึ่งเจตนารมณ์ของมาตรา 350 ไม่ได้เป็นเช่นนั้น
ประชาชนท่านใดมีปัญหาทำนองนี้ อย่าทุกข์อยู่คนเดียว ติดต่อพี่ตุ๊กตามานะคะ โทร. 098-915-0963 numaphon@gmail.com
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1954/2533
ป.อ. มาตรา 56, 350
เดิม โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้เงินกู้ เมื่อศาลพิพากษาแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ตาม คำพิพากษา ได้ มีการยึดรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 1 ห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ได้ ร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด โดย อ้าง ว่าได้ ซื้อ จากจำเลยที่ 1 และในการนำสืบ ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้ ติดต่อ ขายให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. จำเลยที่ 2 เป็นพยานเบิกความว่าได้ มีการซื้อ ขายรถยนต์บรรทุกกันจริงในราคา 100,000 บาท ผลสุดท้ายศาลฎีกาได้ ยก คำร้อง โจทก์จึงขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 1 ใหม่เพื่อเอาเงินชำระหนี้โจทก์ จำเลยที่ 2 ได้ รีบฟ้องให้จำเลยที่ 1ชำระหนี้ตาม สัญญา เงินกู้ อ้างว่ากู้กันแต่ ปี พ.ศ. 2525 โดย ฟ้องวันที่ 2 มกราคม 2530 ได้ ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและศาลพิพากษาตามยอมในวันที่ 8 เดือน เดียว กัน ต่อมาจำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ พฤติการณ์ดังกล่าวมาทั้งหมดส่อให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองกระทำทุกอย่างเพื่อมิให้โจทก์ซึ่ง เป็นเจ้าหนี้ได้ รับชำระหนี้ เป็นความผิดฐาน โกงเจ้าหนี้ตาม ฟ้อง พฤติการณ์เช่นนี้ไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสอง.
________________________________
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 350ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350, 83 จำคุกคนละ 2 เดือน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2525 โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ให้ชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และในวันที่ 11 สิงหาคม 2525 โจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาล และศาลพิพากษาตามยอม ปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 216/2525 ของศาลจังหวัดสิงห์บุรี จำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอม โจทก์ได้บังคับคดีให้เจ้าพนักงานยึดรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 9กุมภาพันธ์ 2526 ต่อมาวันที่ 1 มีนาคม 2526 ห้างหุ้นส่วนจำกัดสิงห์บุรีวัฒนกิจ ผู้ร้องได้ร้องขอให้ปล่อยรถยนต์คันดังกล่าว โดยอ้างว่าผู้ร้องได้ซื้อจากจำเลยที่ 1 โดยสุจริต ในการพิจารณาคดีจำเลยที่ 2 ได้มาเป็นพยานผู้ร้องและเบิกความเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน2526 ว่า ได้เป็นผู้ช่วยติดต่อขายรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 1 ให้ผู้ร้องในราคา 100,000 บาท และจำเลยที่ 2 ได้ลงชื่อเป็นพยานในสัญญาซื้อขาย นอกจากนี้จำเลยที่ 2 ยังเบิกความตอนตอบทนายโจทก์ค้านว่า จำเลยที่ 1 เคยยืมเงินจำเลยที่ 2 เล็กน้อยและได้คืนเงินให้จำเลยที่ 2 แล้ว ผลที่สุดศาลฎีกาได้พิพากษายกคำร้องของผู้ร้องและได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาวันที่ 3 ธันวาคม 2529 โจทก์จึงขอให้ขายทอดตลาดรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 1 ต่อไป และกำหนดขายทอดตลาดในวันที่ 7 มกราคม 2530 แต่ในวันที่ 2 มกราคม 2530 จำเลยที่ 2ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ให้ชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยเป็นเงิน120,254.16 บาท ตามสัญญากู้เงินลงวันที่ 20 มีนาคม 2525 และในวันที่ 8 มกราคม 2530 จำเลยทั้งสองตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาล ศาลได้พิพากษาตามยอม ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1/2530ของศาลจังหวัดสิงห์บุรี และในวันที่ 16 มกราคม 2530 จำเลยที่ 2ได้ยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 216/2525
ข้อต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองที่ว่า จำเลยทั้งสองได้กระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ตามฎีกาของจำเลยที่ว่าพยานโจทก์เพียงแต่เข้าใจเอาว่าจำเลยทั้งสองสมคบกันทำหลักฐานเท็จโดยแกล้งให้จำเลยที่ 1 เป็นหนี้จำเลยที่ 2 ยังไม่พอจะฟังว่าจำเลยทำผิด ส่วนพยานจำเลยมีทั้งพยานบุคคลและเอกสารแสดงว่าเป็นหนี้กันจริง และจำเลยที่ 2 มีฐานะดีขึ้น ข้อนี้แม้โจทก์จะไม่มีพยานหลักฐานรู้เห็นว่าจำเลยทั้งสองคบคิดกันทำหลักฐานเท็จเพื่อแสดงว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้จำเลยที่ 2 ก็ตาม แต่โจทก์ก็มีพยานแวดล้อมที่แสดงพฤติการณ์การกระทำของจำเลยทั้งสอง ตั้งแต่เริ่มต้นที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้เงินกู้ เมื่อศาลพิพากษา แล้วจำเลยที่ 1ไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ตามคำพิพากษา ได้มีการยึดรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 1 ห้างหุ้นส่วนจำกัดสิงห์บุรีวัฒนกิจได้ร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด โดยอ้างว่าได้ซื้อจากจำเลยที่ 1 และในการนำสืบปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้ติดต่อขายให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดสิงห์บุรีวัฒนกิจจำเลยที่2 เป็นพยานเบิกความว่าได้มีการซื้อขายรถยนต์บรรทุกกันจริงในราคา100,000 บาท ผลสุดท้ายศาลฎีกาได้ยกคำร้อง โจทก์จึงขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 1 ใหม่ เพื่อเอาเงินชำระหนี้โจทก์ จำเลยที่ 2 ได้รีบฟ้องให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามสัญญาเงินกู้อ้างว่ากู้กันแต่ปี พ.ศ. 2525 โดยฟ้องวันที่ 2 มกราคม 2530 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและศาลพิพากษาตามยอมในวันที่ 8เดือนเดียวกัน ต่อมาจำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์พฤติการณ์ดังกล่าวมาทั้งหมดส่อให้เห็นว่า จำเลยทั้งสองกระทำทุกอย่างเพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ แม้จำเลยจะมีพยานบุคคลเบิกความยืนยันว่าเป็นหนี้กันจริง และมีพยานเอกสารที่ฝ่ายจำเลยทำขึ้นเองมาสนับสนุนแต่ปรากฏจากคำเบิกความของตัวจำเลยที่ 2ในคดีที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดสิงห์บุรีวัฒนกิจร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดว่า จำเลยที่ 1 เคยยืมเงินจำเลยที่ 2 เล็กน้อยและได้คืนให้หมดแล้ว ขณะเบิกความเป็นเวลาหลังจากที่อ้างว่าทำสัญญากู้ และตามสัญญากู้เป็นหนี้กันถึง 70,000 บาท คำเบิกความของจำเลยที่ 2 ในคดีดังกล่าวขัดกับเอกสารที่จำเลยนำสืบในคดีนี้ ที่จำเลยที่ 2พยายามแสดงหลักฐานว่ามีฐานะดี ก็มิได้ชี้ว่าจำเลยมิได้กระทำผิดพยานหลักฐานของจำเลยไม่น่าเชื่อถือ ไม่มีน้ำหนักพอที่จะหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ พฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสองกระทำชี้ชัดว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดตามฟ้อง
ฎีกาข้อสุดท้ายว่าควรรอการลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองหรือไม่เห็นว่า โจทก์ฟ้อง และศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับผิดแต่ปี พ.ศ.2525 เมื่อยึดทรัพย์ได้มีการเรียกขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด โดยจำเลยทั้งสองเกี่ยวข้องด้วย โจทก์ต้องดำเนินคดีแก่ผู้ร้องเมื่อคดีถึงที่สุดโดยโจทก์ชนะ จำเลยทั้งสองกลับมาฟ้องกันเอง และตกลงยอมความให้ศาลพิพากษาตามยอม แล้วขอเฉลี่ยทรัพย์อีก จนถึงขณะนี้โจทก์ยังไม่ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษา จึงไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสอง..."
พิพากษายืน.
( ก้าน อันนานนท์ - เจริญ นิลเอสงฆ์ - อัมพร ทองประยูร )
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9202/2553
ป.อ. มาตรา 350
ป.วิ.อ. มาตรา 158
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อปี 2538 โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวกให้ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยที่ 1 กับพวกรับผิดต่อโจทก์ เมื่อโจทก์บังคับคดีแก่จำเลยที่ 1 จึงทราบว่าเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2538 จำเลยที่ 1 บังอาจจดทะเบียนยกที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 โดยเสน่หา การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงมีเจตนาซ่อนเร้นทรัพย์ดังกล่าว ซึ่งโจทก์ได้ใช้สิทธิหรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลแล้วให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ เพื่อให้พ้นไปเสียจากการที่โจทก์จะบังคับคดีเอากับทรัพย์ดังกล่าวเพื่อชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนแก่โจทก์ โดยจำเลยทั้งสองทราบดีว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินอื่นที่จะให้โจทก์บังคับคดีได้อีก ตามคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวมีความหมายให้เข้าใจได้อย่างชัดแจ้งแล้วว่า จำเลยทั้งสองได้กระทำไปโดยรู้ว่าเจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้แล้ว ซึ่งครบองค์ประกอบของความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตาม ป.อ. มาตรา 350 ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5)
________________________________
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2531 จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 285 (ที่ถูกคือ 205) ตำบลกำแพง อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ พร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้แก่โจทก์ เพื่อเป็นหลักประกันการทำงานของนายสุพัฒน์ ลูกจ้างโจทก์ในตำแหน่งผู้จัดการ ในวงเงิน 200,000 บาท และเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2535 ได้จดทะเบียนขึ้นเงินจำนวนอีก 3,800,000 บาท รวมเป็นวงเงิน 4,000,000 บาท ต่อมานายสุพัฒน์ทำงานบกพร่องผิดสัญญาจ้างแรงงานทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์ฟ้องนายสุพัฒน์และศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้นายสุพัฒน์รับผิดชำระเงินจำนวน 7,000,000 บาทเศษ ต่อมาเมื่อปี 2538 โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวกให้ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวแก่โจทก์ ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยที่ 1 กับพวกรับผิดต่อโจทก์ เมื่อโจทก์บังคับคดีแก่จำเลยที่ 1 จึงทราบว่าเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2538 จำเลยที่ 1 บังอาจจดทะเบียนยกที่ดินโฉนดเลขที่ 178 และเลขที่ 37 ตำบลกำแพง อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยเสน่หา การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงมีเจตนาซ่อนเร้นทรัพย์ดังกล่าว ซึ่งโจทก์ได้ใช้สิทธิหรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลแล้วให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้เพื่อให้พ้นไปเสียจากการที่โจทก์จะบังคับคดีเอากับทรัพย์ดังกล่าว เพื่อชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนแก่โจทก์ โดยจำเลยทั้งสองทราบดีว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินอื่นที่จะให้โจทก์บังคับได้อีก ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 350
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 ประกอบมาตรา 83 ให้ลงโทษจำคุกคนละ 1 ปี ปรับคนละ 4,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน เห็นควรให้โอกาสกลับตนเป็นพลเมืองดีต่อไป ให้รอการลงโทษไว้กำหนดคนละ 1 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) หรือไม่ ในปัญหานี้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่า จำเลยทั้งสองได้กระทำไปโดยรู้ว่าเจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ ย่อมเป็นฟ้องที่ขาดสาระสำคัญแห่งองค์ประกอบของความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ เห็นว่า การกระทำอันจะเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ได้บัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 ว่า “ผู้ใดเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ซึ่งได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ย้ายไปเสีย ซ่อนเร้นหรือโอนไปให้แก่ผู้อื่นซึ่งทรัพย์ใดก็ดี แกล้งให้ตนเองเป็นหนี้จำนวนใดอันไม่เป็นความจริงก็ดี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” ซึ่งตามบทบัญญัติดังกล่าวเกี่ยวกับเรื่องทรัพย์ของลูกหนี้นั้น แสดงไว้แจ้งชัดว่าหมายถึงทรัพย์สินใดๆ ของลูกหนี้ที่มีอยู่ได้มีการย้ายไปเสีย ซ่อนเร้นหรือโอนไปเพียงเพื่อเจตนามิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อปี 2538 โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวกให้ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยที่ 1 กับพวกรับผิดต่อโจทก์ เมื่อโจทก์บังคับคดีแก่จำเลยที่ 1 จึงทราบว่าเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2538 จำเลยที่ 1 บังอาจจดทะเบียนยกที่ดินโฉนดเลขที่ 178 และเลขที่ 37 ตำบลกำแพง อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยเสน่หา การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงมีเจตนาซ่อนเร้นทรัพย์ดังกล่าว ซึ่งโจทก์ได้ใช้สิทธิหรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลแล้วให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ เพื่อให้พ้นไปเสียจากการที่โจทก์จะบังคับคดีเอากับทรัพย์ดังกล่าวเพื่อชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนแก่โจทก์ โดยจำเลยทั้งสองทราบดีว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินอื่นที่จะให้โจทก์บังคับคดีได้อีก โดยเมื่อพิเคราะห์คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวแล้วก็เป็นคำฟ้องที่สมบูรณ์มีความหมายให้เข้าใจได้อย่างชัดแจ้งแล้วว่า จำเลยทั้งสองได้กระทำไปโดยรู้ว่าเจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้แล้ว ซึ่งครบองค์ประกอบของความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น แต่เนื่องจากคดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโดยเห็นว่าฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) โดยยังมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองในข้ออื่นๆ ดังนั้น เพื่อให้การวินิจฉัยเป็นไปตามลำดับชั้นศาล เพราะผลแห่งการวินิจฉัยอาจนำไปสู่การจำกัดสิทธิการฎีกาของคู่ความได้ ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิจารณาพิพากษาใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208 (2) ประกอบด้วยมาตรา 225”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
( ธีระพงศ์ จิระภาค - ตรีวุฒิ สาขากร - วัส ติงสมิตร )
คำพิพากษาศาลฎีกาเหล่านี้ ThaiLawConsult นำมาจากระบบสืบค้นคำพิพากษา วันที่ 3-12-2556

