ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร น.บ.ท.64 ผู้เรียบเรียง
ยกหูถึง "พี่ตุ๊กตา"
เรื่องที่ 62 ขอรับชำระหนี้จำนองในชั้นบังคับคดี ใหม่ เป็นร้องซ้ำหรือไม่
คำถามจากศิษย์เก่าวิศวะ มอ ขอนแก่น ป.วิ.พ. 148 (1) และ 289
27-06-57 คืนนี้ ทีมทนาย Thai Law Consult จะมีโอกาสนอนตั้งแต่หัวค่ำ – ช่อง 8 RS ไม่มีฟุตบอลโลกให้ถ่ายทอดตอนดึกๆ 2014 FIFA world cup Brazil เขาพักการแข่งขันกัน 1 วัน ขณะที่คนไทยกังวลกับสถานการณ์การค้ามนุษย์ และข่าวอเมริกา ทบทวนการฝึกคอบบร้าโกลด์ โดยอ้างว่าทหารไทยทำปฏิวัติ
เมื่อวานนี้ คุณกุ๊กศิษย์เก่าวิศวะ มอ ขอนแก่น ได้ส่ง e-mail มาแนะนำที่พักทนายความและคนทั่วไปที่จังหวัดร้อยเอ็ด ชื่อลิต้าเพลส ว่าใหม่มาก ดีมาก ราคาไม่แพง และสอบถามว่า “ผมยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้บุริมสิทธิในชั้นบังคับคดี ศาลยกคำร้อง ถ้าผมจะยื่นคำร้องใหม่ เป็นร้องซ้ำหรือไม่ – และผมปล่อยกู้ไป 1 ล้าน มีที่ดินของลูกหนี้พร้อมสิ่งปลุกสร้างราคา น่าจะ 1.2 ล้าน จดจำนองแค่ 3 แสนเป็นประกัน ลูกหนี้ไม่ชำระ ผมจึงฟ้องคดี ศาลพิพากษาให้ผมชนะ คดีถึงที่สุดแล้ว ผมไม่ทันนำยึด ดันมีเจ้าหนี้ตามคำพิพพากษาคดีอื่น ที่ลูกหนี้ ไปค้ำประกันการกู้ยืม รับผิดอย่างหนี้ร่วม จำนวน 2 แสนบาท ไม่ได้จำนองที่ดินเป็นประกัน นำยึดก่อน และมีประกาศขายทอดตลาดแล้ว ผมให้ทนาย
1) ร้องขอรับชำระหนี้บุริมสิทธิ์ทั้งจำนวน 1 ล้านบาท เข้าไปในคดีกันส่วน ศาลยกคำร้อง ให้เหตุผลว่า ผมไม่อาจยื่นคำร้องเข้ามาในคดีกันส่วนได้ จึงมีคำสั่งไม่รับคำร้อง
2) ร้องคัดค้านกันส่วน ศาลยกคำร้อง ให้เหตุผลว่า ผมเป็นเจ้าหนี้จำนอง อันมีสิทธิที่จะขอรับชำระหนี้ได้ตาม ป.วิ.พ. ม.289 ซึ่งตามบทบัญญัติ ป.วิ.พ. ม.287 ย่อมอยู่ภายใต้บังคับ ม.289 ดังนั้น การร้องขอกันส่วน ย่อมไม่กระทบสิทธิของผม จึงไม่รับคำคัดค้าน
ผมจะแก้ไขอย่างไร”
ทีมทนาย Thai Law Consult เห็นว่า น่าสนใจ จึงช่วยกันเรียบเรียงบทความนี้ นำเสนอเป็นความรู้กฎหมายสู่ประชาชนครับ หากท่านมีเป็นปัญหา หนักๆเกี่ยวกับคดีที่ดิน เชิญติดต่อสอบถาม มานะคะ
หลักกฎหมาย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ป.วิ.พ.)
มาตรา 7 (2) คำฟ้องหรือคำร้องขอที่เสนอเกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีตามคำพิพากษา หรือคำสั่งของศาลซึ่งคำฟ้องหรือคำร้องขอนั้นจำต้องมีวินิจฉัยของศาลก่อนที่การบังคับคดีจะได้ ดำเนินไปได้โดยครบถ้วนและถูกต้องนั้น ให้เสนอต่อศาลที่มีอำนาจในการบังคับคดี ตาม มาตรา 302
มาตรา 148 คดีที่ได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้วห้ามมิให้ คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีก ในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัย เหตุอย่างเดียวกันเว้นแต่ในกรณีต่อไปนี้
(1) เมื่อเป็นกระบวนพิจารณาชั้นบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือ คำสั่งของศาล
มาตรา 287 ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติ มาตรา 288 และ มาตรา 289 บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ ว่าด้วยการบังคับคดีแก่ ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้น ย่อมไม่กระทบกระทั่งถึง บุริมสิทธิหรือสิทธิอื่น ๆ ซึ่งบุคคลภายนอกอาจร้องขอให้บังคับ เหนือทรัพย์สินนั้นได้ตามกฎหมาย
มาตรา 288 ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่ง มาตรา 55 ถ้าบุคคลใด กล่าวอ้างว่าจำเลย หรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สิน ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้ ก่อนที่ได้เอาทรัพย์สินเช่นว่านี้ออก ขายทอดตลาด หรือจำหน่ายโดยวิธีอื่น บุคคลนั้นอาจยื่นคำร้องขอต่อ ศาลที่ออกหมายบังคับคดีให้ปล่อยทรัพย์สินเช่นว่านั้น ในกรณีเช่นนี้ ให้ผู้กล่าวอ้างนั้นนำส่งสำเนาคำร้องขอแก่โจทก์หรือเจ้าหนี้ตาม คำพิพากษา และจำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาและเจ้าพนักงาน บังคับคดีโดยลำดับ เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้รับคำร้องขอเช่นว่านี้ ให้งดการขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สินที่พิพาทนั้นไว้ในระหว่าง รอคำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลดั่งที่บัญญัติไว้ต่อไปนี้
เมื่อได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลแล้ว ให้ศาลพิจารณาและชี้ขาดตัดสิน คดีนั้นเหมือนอย่างคดีธรรมดา เว้นแต่
(1) เมื่อเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้ยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้อง ไม่ว่าในเวลาใด ๆ ก่อนวันกำหนดชี้สองสถานหรือก่อนวันสืบพยาน หากมีพยานหลักฐานเบื้องต้นแสดงว่าคำร้องขอนั้นไม่มีมูลและยื่นเข้า มาเพื่อประวิงให้ชักช้าศาลมีอำนาจที่จะมีคำสั่งให้ผู้กล่าวอ้างวางเงิน ต่อศาลภายในระยะเวลาที่ศาลจะกำหนดไว้ในคำสั่งตามจำนวนที่ ศาลเห็นสมควร เพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่เจ้าหนี้ ตามคำพิพากษาสำหรับความเสียหายที่อาจได้รับเนื่องจากเหตุเนิ่นช้าในการบังคับคดี อันเกิดแต่การยื่นคำร้องขอนั้น ถ้าผู้กล่าวอ้างไม่ ปฏิบัติตามคำสั่งของศาล ให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบ ความ
(2) ถ้าทรัพย์สินที่พิพาทนั้นเป็นสังหาริมทรัพย์และมีพยาน หลักฐานเบื้องต้นแสดงว่าคำร้องขอนั้นไม่มีเหตุอันควรฟัง หรือถ้า ปรากฏว่าทรัพย์สินที่ยึดนั้นเป็นสังหาริมทรัพย์ที่เก็บไว้นานไม่ได้ ศาลมีอำนาจที่จะมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาด หรือจำหน่ายทรัพย์สินเช่นว่านี้โดยไม่ชักช้า
คำสั่งของศาลตามวรรคสอง ( 1) และ ( 2) ให้เป็นที่สุด
มาตรา 289 ถ้าบุคคลใดชอบที่จะบังคับการชำระหนี้เอาจาก ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้ หรือชอบที่จะได้เงินที่ขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินเหล่านั้นได้โดยอาศัย อำนาจแห่งการจำนองที่อาจบังคับได้ก็ดี หรืออาศัยอำนาจแห่ง บุริมสิทธิก็ดี บุคคลนั้นอาจยื่นคำร้องขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดี ให้เอาเงินที่ได้มานั้นชำระหนี้ตนก่อนเจ้าหนี้อื่น ๆ ตามบทบัญญัติแห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในกรณีที่อาจบังคับเอาทรัพย์สิน ซึ่งจำนองหลุด ผู้รับจำนองจะมีคำขอดั่งกล่าวข้างต้นให้เอาทรัพย์สิน ซึ่งจำนองนั้นหลุดก็ได้
ในกรณีจำนองอสังหาริมทรัพย์หรือบุริมสิทธิเหนืออสังหาริมทรัพย์ อันได้ไปจดทะเบียนไว้นั้น ให้ยื่นคำร้องขอก่อนเอาทรัพย์สินนั้นออก ขายทอดตลาด ส่วนในกรณีอื่น ๆ ให้ยื่นคำร้องขอเสียก่อนส่งคำบอก กล่าวตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 319
ถ้าศาลมีคำสั่งอนุญาตให้เอาทรัพย์ที่จำนองหลุด การยึดทรัพย์ที่ จำนองนั้นเป็นอันเพิกถอนไปในตัว ในกรณีอื่น ๆ ที่ศาลมีคำสั่งอนุญาต ตามคำร้องขอเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาชอบที่จะได้รับแต่เงินที่เหลือ ถ้าหากมี ภายหลังที่หักชำระค่าธรรมเนียมการบังคับจำนองและ ชำระหนี้ผู้รับจำนองหรือเจ้าหนี้บุริมสิทธิแล้ว
มาตรา 290 เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินอย่างใดของลูกหนี้ตามคำพิพากษาไว้แทนเจ้าหนี้ ตามคำพิพากษาแล้ว ห้ามไม่ให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอื่นยึดหรืออายัดทรัพย์สินนั้นซ้ำอีก แต่ให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเช่นว่านี้มีอำนาจยื่นคำขอ โดยทำเป็นคำร้องต่อศาลที่ออกหมายบังคับให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินนั้น เพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้ตนเข้าเฉลี่ยใน ทรัพย์สินหรือเงินที่ขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินนั้นได้ตามที่บัญญัติไว้ใน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ห้ามมิให้ศาลอนุญาตตามคำขอเช่นว่ามานี้ เว้นแต่ศาลเห็นว่าผู้ยื่นคำขอไม่สามารถเอาชำระได้จากทรัพย์สินอื่น ๆ ของลูกหนี้ตามคำพิพากษา
เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจตามกฎหมายว่าด้วยภาษีอากรในอันที่จะสั่งยึด หรืออายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา เพื่อชำระค่าภาษีอากรค้างให้มีสิทธิขอเฉลี่ยในทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานดังกล่าว ได้ยึดหรืออายัดไว้ก่อนแล้วเช่นเดียวกับเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาตามความในวรรคหนึ่ง แต่ถ้าเจ้าพนักงานมิได้ยึดหรืออายัดไว้ก่อน ให้ขอเฉลี่ยได้ภายในบังคับบทบัญญัติวรรค สอง
ในกรณีที่ยึดทรัพย์สินเพื่อขายทอดตลาดหรือจำหน่ายโดยวิธีอื่น คำขอเช่นว่านี้ให้ ยื่นก่อนสิ้นระยะเวลาสิบสี่วันนับแต่วันที่มีการขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สินที่ขายทอดตลาด หรือจำหน่ายได้ในครั้งนั้น ๆ
ในกรณีที่อายัดทรัพย์สิน ให้ยื่นคำขอเสียก่อนสิ้นระยะเวลาสิบสี่วันนับแต่วันชำระเงินหรือส่งทรัพย์สินตามที่อายัดไว้
ในกรณียึดเงิน ให้ยื่นคำขอเสียก่อนสิ้นระยะเวลาสิบสี่วันนับแต่วันยึด
เมื่อได้ส่งสำเนาคำขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแล้ว ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีงดการจ่ายเงินหรือทรัพย์สินตามคำบังคับไว้จนกว่าศาลจะได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาด เมื่อศาลได้มีคำสั่งประการใดและส่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบแล้ว ก็ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีปฏิบัติไปตามคำสั่งเช่นว่านั้น
ในกรณีที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาผู้ยึดสละสิทธิในการบังคับคดี หรือเพิกเฉยไม่ ดำเนินการบังคับคดีภายในเวลาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนดผู้ขอเฉลี่ยหรือผู้ยื่นคำร้องตาม มาตรา 287 หรือตาม มาตรา 289 มีสิทธิขอให้ดำเนินการบังคับคดีต่อไป
คำสั่งอนุญาตของศาลตามวรรคแปดให้เป็นที่สุด
มาตรา 302 ศาลที่มีอำนาจออกหมายบังคับคดีหรือหมายจับ ลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือมีอำนาจทำคำวินิจฉัยชี้ขาดในเรื่อง ใด ๆ อันเกี่ยวด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง ซึ่ง ได้เสนอต่อศาลตามบทบัญญัติแห่งลักษณะนี้คือศาลที่ได้พิจารณา และชี้ขาดตัดสินคดีในชั้นต้น
ถ้าศาลอุทธรณ์ได้ส่งคดีไปยังศาลชั้นต้นแห่งอื่นที่มิได้มี คำพิพากษา หรือคำสั่งที่อุทธรณ์นั้นเพื่อการพิจารณาและพิพากษา ใหม่ตาม มาตรา 243 (2) และ ( 3) ให้ศาลที่มีคำพิพากษาหรือ คำสั่งใหม่นั้นเป็นศาลที่มีอำนาจในการบังคับคดีเว้นแต่ศาลอุทธรณ์ จะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
ในกรณีที่ศาลได้ออกหมายบังคับคดีส่งไปให้อีกศาลหนึ่งบังคับ คดีแทนให้ส่งทรัพย์ที่ยึดได้หรือเงินที่ได้จากการขายทรัพย์นั้น แล้วแต่กรณี ไปยังศาลที่ออกหมาย เพื่อดำเนินการไปตาม กฎหมาย
ทบทวน
ข้อยกเว้น ไม่ถือเป็นฟ้องซ้ำ มาตรา 148 คดีที่ได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้ว ห้ามมิให้คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีก ในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัย เหตุอย่างเดียวกันเว้นแต่ในกรณีต่อไปนี้
(1) เมื่อเป็นกระบวนพิจารณาชั้นบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือ คำสั่งของศาล
1. ทนายน้อย ปราธูป ศรีกลับ น.บ.ท. 64.ซึ่งกำลังจะจบโท ภาษีรามคำแหง ให้ความเห็นว่า “ผมว่า ฎีกา 8612/2549 น่าศึกษามากที่สุด”
ฎีกา 8612/2549 (ย่อ) คำฟ้องโจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์ดำเนินการบังคับคดีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากโจทก์จำเลยตกลงกันว่าให้โจทก์ชำระหนี้ตามคำพิพากษาเพียง 360,000 บาท นอกนั้นไม่ติดใจดำเนินการบังคับคดีกับโจทก์ โจทก์ชำระหนี้ให้แก่จำเลยครบถ้วนแล้ว จำเลยไม่มีสิทธิบังคับคดีกับโจทก์ ขอให้เพิกถอนการบังคับคดีเสีย แม้โจทก์จะกล่าวมาในคำฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาเป็นเหตุให้โจทก์เสียหายอันเป็นข้อโต้แย้งสิทธิของโจทก์มาด้วย แต่โจทก์มิได้มีคำขอบังคับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจากการที่จำเลยผิดสัญญา คำฟ้องโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่เกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล โจทก์ชอบที่จะยื่นคำร้องต่อศาลในคดีเดิม มิใช่ฟ้องเป็นคดีใหม่
ตามคำร้องของโจทก์ที่ยื่นในคดีเดิมเป็นเรื่องที่อ้างว่าการดำเนินการบังคับคดีในคดีเดิมไม่ชอบด้วยกฎหมายและขอให้มีคำสั่งเพิกถอนการยึดทรัพย์ เป็นคำร้องขอที่เสนอเกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลซึ่งคำฟ้องหรือคำร้องขอนั้นจำต้องมีคำวินิจฉัยของศาลก่อนที่การบังคับคดีจะได้ดำเนินไปโดยครบถ้วนและถูกต้องและได้ยื่นต่อศาลชั้นต้นในคดีเดิมซึ่งเป็นศาลที่ได้พิจารณาชี้ขาดตัดสินคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 302 ซึ่งศาลชั้นต้นชอบที่จะนัดพร้อมเพื่อสอบถามคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งเสียก่อนที่จะได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาด แต่เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องโดยมิได้นัดพร้อมหรือนัดไต่สวน โจทก์ก็มิได้อุทธรณ์ คำสั่งศาลชั้นต้นจึงเป็นที่สุดแล้ว แต่โจทก์ก็ยังมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการบังคับคดีต่อศาลชั้นต้นในกรณีดังกล่าวอีกได้เพราะเป็นกระบวนพิจารณาในชั้นบังคับคดีตามมาตรา 148 (1)
2. ทนายให้ข้อสังเกตว่า ตามมาตรา 148 (1) เป็นข้อยกเว้น ไม่เป็นฟ้องซ้ำ ในกระบวนพิจารณาในชั้นบังคับคดี ตามคำพิพากษา แต่การร้องขัดทรัพย์ตาม ป.วิ.พ. 288 กฎหมายให้พิจารณาเหมือนคดีธรรมดา จึงไม่เข้าข้อยกเว้นดังกล่าว (โปรดดู ฎีกา 1817/2542 ฉบับย่อ - ศาลมีคำสั่งถึงที่สุดให้ยกคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้อง ในคราวก่อนเพราะผู้ร้องไม่มีพยานมาสืบ เท่ากับว่าผู้ร้องไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะสนับสนุนข้ออ้างในประเด็น แห่งคดีที่ผู้ร้องนำมาฟ้อง เป็นการวินิจฉัยชี้ขาด ประเด็นแห่งคดีของผู้ร้องนั้นแล้ว ผู้ร้องจะร้องขัดทรัพย์ ในประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน อีกไม่ได้ เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 และกรณีไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 148(1) เพราะมาตรา 288 ให้ศาลพิจารณาชี้ขาดคดีคำร้องขัดทรัพย์ นั้นเหมือนคดีธรรมดา คำร้องของ ผู้ร้องจึงเป็นคำร้องซ้ำ)
3. พี่ชายน้อย ทนายศักดิ์ชาย ทุ่งโชคชัย น.บ.ท. 59 ให้ความเห็นว่า ต้องพิจารณา ป.วิ.พ. มาตรา 289 ดังนี้
การขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้จำนอง ป.วิ.พ. มาตรา 289
หลักเกณฑ์
- เป็นผู้มีสิทธิบังคับชำระหนี้ จากทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้ หรือจากเงินที่ขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินเหล่านั้น โดยอาศัยอำนาจการจำนอง หรืออาศัยอำนาจแห่งบุริมสิทธิ
- ต้องยื่นคำร้องขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดี ให้เอาเงินที่ได้มานั้น ชำระหนี้ตนก่อนเจ้าหนี้อื่นๆ ตามบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ.
- กำหนดเวลายื่นคำขอ – ในกรณีจำนองอสังหาริมทรัพย์ หรือบุริมสิทธิ เหนืออสังหาริมทรัพย์อันได้จดทะเบียนไว้นั้น ให้ยื่นคำร้องขอก่อนเอาทรัพย์สินนั้นออกขายทอดตลาด – ในกรณีอื่นๆ ให้ยื่นคำขอเสียก่อนส่งคำบอกกล่าว ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 319
ทนายอู๋ อุดมศักดิ์ ศักดิ์ธงชัย น.บ.ท. 64 ให้ข้อสังเกตดังนี้
- เจ้าหนี้จำนอง ขอรับชำระหนี้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 289 ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา (ฎีกา 2086/2497)
- เจ้าหนี้ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ ก่อนเอาทรัพย์สินนั้น ออกขายทอดตลาด (ฎีกา 3043/2528)
- สำคัญมาก ** แม้ผู้รับจำนอง จะไม่ได้ขอรับชำระหนี้ก่อนขายทอดตลาด ทรัพย์ที่จำนอง ตาม 289 ก็ไม่ทำให้การจำนองระงับสิ้นไป การจำนองยังคงตกติดไปกับทรัพย์นั้น , การขายทอดตลาดทรัพย์ที่จำนอง ไม่ใช่เหตุทำให้การจำนองระงับ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 744 , ทั้งยังมีบทบัญญัติ ป.วิ.พ. 287 รองรับว่า การบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ ไม่กระทบกระทั่งถึงสิทธิของบุคคลภายนอกที่มีตามกฎหมาย (ฎีกา 1779 – 1780/2509 , 3332/2527 ย่อ)
- สำคัญมาก ** ในกรณีที่ผู้รับจำนอง ยินยอมให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์ที่จำนองไปโดยปลอดจำนอง แม้ผู้รับจำนองจะไม่ได้ขอรับชำระหนี้จำนองก่อนขายทอดตลาดทรัพย์นั้น การที่ผู้รับจำนองมาขอรับชำระหนี้ภายหลังขายทอดตลาด ถือว่าเป็นการร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์นั้น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 287 (ฎีกา 1551/2543 , 3655/2538 ย่อ)
ทนายบอย วีรยุทธ พนังศรี น.บ.ท. 64 ให้ความเห็นดังนี้
- การขอรับชำระหนี้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 289 ก็เสมือนเป็นการฟ้องบังคับจำนองนั่นเอง จึงต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่ง ป.พ.พ. ด้วย เช่น เมื่อหนี้ยังไม่ถึงกำหนดชำระ ผู้รับจำนองก็ยังไม่มีสิทธิฟ้องบังคับจำนอง จึงยังไม่มีสิทธิของรับชำระหนี้ โดยอาศัยอำนาจจำนอง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 289 (ฎีกา 3575/2534)
- การร้องขอตามมาตรา 289 ถือว่าเป็นการฟ้องขอให้บังคับจำนองนั่นเอง จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามจำนวนหนี้ที่ขอรับชำระนั้น ในอัตราร้อยละหนึ่ง ตามตาราง 1 ข้อ (1) (ค) (ฎีกา 474/2524)
- ในคดีที่โจทก์เป็นผู้รับจำนอง ได้ฟ้องมูลหนี้สามัญ แต่ในชั้นบังคับคดี โจทก์ก็ใช้สิทธิตาม 289 ได้ ซึ่งโจทก์ต้องขอต่อศาลก่อนขายทอดตลาดเช่นกัน (ฎีกา 2825/2527 , 4740/2538 , 58/2493 ย่อ)
- คดีก่อน โจทก์เคยยื่นคำร้องขอรับเงินชำระหนี้จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาด ทรัพย์สินของจำเลย ตาม ป.วิ.พ. 289 ศาลได้มีคำสั่งให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ คำสั่งถึงที่สุดแล้ว
ทนายสมบัติ บุญสุทัศน์ น.บ.ท. 63 จบโทภาษีจุฬาสดๆ จะเข้า รับปริญญาโทพร้อมกับอาจารย์ ป๊อป ไกรพล อรัญรัตน์ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2557 นี้ ที่จุฬาให้ความเห็นว่า การที่เจ้าหนี้บุริมสิทธิยื่นขอรับชำระหนี้ก่อน ตาม 289 เมื่อพิจารณาได้ความว่า เจ้าหนี้ไม่มีสิทธิยื่นคำร้องตามบทบัญญัตินี้ – ศาลจะสั่งให้เข้าเฉลี่ยทรัพย์ ตามบัญญัติมาตรา 290 ไม่ได้ เพราะนอกประเด็น (ตาม ฎีกา 2715/2545 ย่อ สำคัญนะจ๊ะ)
พี่ตุ๊กตา ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร น.บ.ท. 64 เปิดหนังสือจูริส เล่ม 3 ของอาจารย์วิเชียร ดิเรกอุดมศักดิ์ แล้วจึงขอสรุปดังนี้
1. มาตรา 287 บัญญัติอยู่ภายใต้แห่งบัญญัติมาตรา 288 และ 289 หมายความว่า หากสิทธิของบุคคลภายนอก ไม่เข้ากรณี มาตรา 288 และ 289 ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้ว ก็ต้องปฏิบัติตามบทเฉพาะนั้นๆ ดังนั้น ในกรณีของผู้รับจำนอง จะขอรับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่น ก็ต้องเป็นไปตาม มาตรา 289 เช่น กรณีจำนองอสังหาริมทรัพย์ ก็ต้องยื่นคำร้องก่อนเอาทรัพย์จำนองขายทอดตลาด เมื่อมีการยื่นคำร้องดังกล่าวแล้ว การขายทอดตลาดนั้น ก็เป็นการขายโดยปลอดจำนอง แต่ถ้าผู้รับจำนองไม่ได้ขอรับชำระหนี้จำนอง ตาม 289 และภายหลัง ผู้รับจำนองได้ขอให้ขายทอดตลาดโดยปลอดจำนอง ผู้รับจำนองมีสิทธิขอให้บังคับจำนองเหนือทรัพย์จำนอง โดยขอกันส่วนหนี้จำนอง ตามมาตรา 287 ได้ (ฎีกา 1551/2543, 2965/2538 ฉบับเต็ม)
2. ป.วิ.พ. มาตรา 148 (1) กระบวนพิจารณาในชั้นบังคับคดี ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ดังนั้น ป.วิ.พ. 287 กันส่วน 289 ขอรับชำระหนี้จำนอง 290 ขอเฉลี่ยทรัพย์ – ไม่เป็นการยื่นคำร้องซ้ำ
เว้นแต่ ป.วิ.พ. 288 ร้องขัดทรัพย์ เข้าไปใหม่ เป็นฟ้องซ้ำ เพราะบัญญัติไว้เฉพาะแล้ว
มีทนาย บอกว่า บราซิล ชนะชิลี และคอลอมโบ ชนะอุรุกวัย ทำให้บราซิล ไปพบกับคอลอมโบในวันที่ 5 กรกฎาคม 2557 ตอนตี 3 จึงขอฟันธง คำถามนี้ ดังนี้
- เหตุผลศาล ในการยกคำร้อง “ตามคำร้อง เป็นการขอรับชำระหนี้จำนอง อันมีประเด็นต้องวินิจฉัยคนละประเด็นกับการขอกันส่วน จึงไม่อาจยื่นคำร้องเข้ามาในคดีขอกันส่วนได้ จึงมีคำสั่งไม่รับคำร้อง”
- ร้องใหม่ได้ ไม่เป็นร้องซ้ำ – แต่ต้องร้องให้ถูกต้องนะครับ จะช่วยดูให้หลังไมค์ ครับ
- ขอให้ดูฎีกา 1817/2542 ฉบับเต็ม
ทีมทนาย Thai Law Consult ได้นำฎีกาสำคัญมาลงไว้แล้ว นะคะ
ฎีกา 1551/2543, 2965/2537, 1817/2542, 8612/2549, 7063/2541 , 2715/2545
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1551/2543
ป.พ.พ. มาตรา 732
ป.วิ.พ. มาตรา 287, 289
แม้ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับจำนองไม่ได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลก่อนเอาทรัพย์พิพาทออกขายทอดตลาด ก็หาเป็นเหตุให้ผู้ร้องหมดสิทธิในฐานะผู้รับจำนองไปไม่เพราะการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289ของลูกหนี้ตามคำพิพากษาย่อมไม่กระทบกระเทือนถึงบุริมสิทธิของผู้รับจำนองซึ่งอาจร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์พิพาทได้ ฉะนั้น เมื่อเอาทรัพย์พิพาทขายทอดตลาดโดยปลอดจำนองตามความประสงค์ของผู้ร้อง และผู้ร้องเป็นผู้ประมูลซื้อจากขายทอดตลาดได้ ผู้ร้องจึงมีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้รายอื่นรวมทั้งโจทก์ด้วย
________________________________
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถแทรกเตอร์ยี่ห้อแคตเตอร์พิลล่า หมายเลขเครื่อง เอ ดี 4 ดี 3549 หมายเลขตัวถังซีเรียล 2330 สีเหลือง ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากไม่สามารถส่งคืนได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 400,000 บาท กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาทส่วนคำขออื่นให้ยก แต่จำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จึงขอหมายบังคับคดีนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์พิพาท คือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2022 ตำบลไชยคราม อำเภอดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานี ของจำเลยที่ 2 ซึ่งจำนองเป็นประกันเงินกู้ไว้แก่ผู้ร้อง เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทโดยปลอดจำนองเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2542 โดยผู้ร้องเป็นผู้ประมูลซื้อทรัพย์พิพาทได้ในราคา 250,000 บาท
ผู้ร้องยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2542 ว่า ผู้ร้องในฐานะเจ้าหนี้ผู้รับจำนองซึ่งจำเลยที่ 2 จำนองทรัพย์พิพาทเป็นประกันเงินกู้ไว้แก่ผู้ร้อง จำเลยที่ 2 ยังเป็นหนี้ผู้ร้องคิดยอดหนี้ ณ วันที่ยื่นคำร้องเป็นต้นเงิน 1,200,000 บาท ดอกเบี้ย30,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,230,000 บาท ขอให้ศาลมีคำสั่งให้นำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทชำระหนี้จำนองให้แก่ผู้ร้องก่อนเจ้าหนี้อื่นรวมทั้งโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 ด้วย
ศาลชั้นต้นสั่งว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องหลังจากนำทรัพย์สินขายทอดตลาดแล้วจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 วรรคสองและกรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่าผู้ร้องในฐานะผู้รับจำนองทรัพย์พิพาทมีสิทธิยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทก่อนเจ้าหนี้รายอื่นรวมทั้งโจทก์ด้วยหรือไม่เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 บัญญัติว่า "ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 288 และ 289 บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้น ย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงบุริมสิทธิหรือสิทธิอื่น ๆ ซึ่งบุคคลภายนอกอาจร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นได้ตามกฎหมาย" และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 732บัญญัติว่า "ทรัพย์สินซึ่งจำนองขายทอดตลาดได้เงินเป็นจำนวนสุทธิเท่าใดท่านให้จัดใช้แก่ผู้รับจำนองเรียงตามลำดับ" เช่นนี้ ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับจำนองทรัพย์พิพาทมีบุริมสิทธิที่จะบังคับเหนือทรัพย์พิพาทเพื่อให้ได้รับชำระหนี้จากทรัพย์พิพาทก่อนเจ้าหนี้รายอื่นรวมทั้งโจทก์ด้วยตามที่บทกฎหมายดังกล่าวบัญญัติไว้ แม้ว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 วรรคสอง จะบัญญัติว่า "ในกรณีจำนองอสังหาริมทรัพย์หรือบุริมสิทธิเหนืออสังหาริมทรัพย์อันได้ไปจดทะเบียนไว้นั้น ให้ยื่นคำร้องขอก่อนเอาทรัพย์สินนั้นออกขายทอดตลาด" ก็เป็นเพียงบทบัญญัติที่ให้อำนาจผู้รับจำนองที่จะยื่นคำร้องต่อศาลก่อนเอาทรัพย์สินนั้นออกขายทอดตลาด ทั้งนี้เพื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีจะได้ดำเนินการให้เป็นไปโดยถูกต้องตามเจตนาของผู้รับจำนองเท่านั้น แต่ถ้าผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับจำนองไม่ได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลก่อนเอาทรัพย์พิพาทออกขายทอดตลาดก็หาเป็นเหตุให้ผู้ร้องหมดสิทธิในฐานะผู้รับจำนองไปไม่เพราะการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้น ย่อมไม่กระทบกระเทือนถึงบุริมสิทธิของผู้รับจำนองซึ่งอาจร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์พิพาทได้ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 732 ดังกล่าวมาแล้ว ฉะนั้น เมื่อเอาทรัพย์พิพาทขายทอดตลาดโดยปลอดจำนองตามหนังสือแจ้งความประสงค์ของผู้ร้องแล้ว และผู้ร้องเป็นผู้ประมูลซื้อจากขายทอดตลาดได้ ผู้ร้องในฐานะผู้รับจำนองทรัพย์พิพาทจึงมีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้รายอื่นรวมทั้งโจทก์ด้วย การที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของผู้ร้องโดยยังไม่ได้ไต่สวนว่าผู้ร้องมีสิทธิขอรับชำระหนี้เพียงใด จึงไม่ชอบศาลชั้นต้นชอบที่จะไต่สวนคำร้องของผู้ร้องต่อไปแล้วมีคำสั่งตามรูปคดี ที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น"
พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป
( วีระศักดิ์ รุ่งรัตน์ - สุวัตร์ สุขเกษม - วิบูลย์ มีอาสา )
- ท่านใดมีปัญหาทำนองนี้ โปรดติดต่อ พี่ตุ๊กตา ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร โทร. 098-915-0963 numaphon@gmail.com, Line ID: thailawconsult
คำพิพากษาศาลฎีกาเหล่านี้ ThaiLawConsult นำมาจากระบบสืบค้นคำพิพากษาฎีกา วันที่ 1-ก.ค.-2557

