ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร น.บ.ท.64 ผู้เรียบเรียง
ยกหูถึง "พี่ตุ๊กตา"
เรื่องที่ 64 อำนาจฟ้องในคดีครอบครองปรปักษ์ ต้องเป็นคำร้องเท่านั้นหรือ
ตอบ
หลักกฎหมาย : ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ป.วิ.พ.)
มาตรา 55 เมื่อมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้น เกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของ บุคคลใดตามกฎหมายแพ่ง หรือบุคคลใดจะต้องใช้สิทธิทางศาล บุคคลนั้นชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลส่วนแพ่งที่มีเขตอำนาจได้ ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายแพ่งและประมวลกฎหมายนี้
มาตรา 172 ภายใต้บังคับบทบัญญัติ มาตรา 57 ให้โจทก์เสนอ ข้อหาของตนโดยทำคำฟ้องเป็นหนังสือยื่นต่อศาลชั้นต้น
คำฟ้องต้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และ คำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น
ให้ศาลตรวจคำฟ้องนั้นแล้วสั่งให้รับไว้ หรือให้ยกเสีย หรือ ให้คืนไปตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 18
มาตรา 188 ในคดีที่ไม่มีข้อพิพาท ให้ใช้ข้อบังคับต่อไปนี้
(1) ให้เริ่มคดีโดยยื่นคำร้องขอต่อศาล
หลักเกณฑ์ การเสนอคดีต่อศาลมีด้วยกัน 2 วิธี คือ
1. เมื่อมีข้อโต้แย้งสิทธิหน้าที่ของบุคคลตามกฎหมายแพ่ง เป็นการเสนอคดีแบบมีข้อพิพาท โดยทำเป็นคำฟ้อง
หรือ ป.วิ.พ. 55 + 172 ว.2
2. กรณีใช้สิทธิทางศาล เป็นการเสนอคดีแบบไม่มีข้อพิพาท โดยทำเป็นคำร้องขอ
หรือ ป.วิ.พ. 55 + 188(1)
อำนาจฟ้องในคดีไม่มีข้อพิพาท ทนายน้อย ปราธูป ศรีกลับ น.บ.ท.64 ให้ความเห็นดังนี้
"ในกรณีที่บุคคลจะใช้สิทธิทางศาล โดยทำเป็นคำร้องขอ เป็นคดีไม่มีข้อพิพาทนี้ ต้องเป็นกรณีที่มีกฎหมายบัญญัติรับรองไว้ ให้ใช้สิทธิทางศาลได้ เช่น ผู้ที่ได้กรรมสิทธิในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ ตาม ป.พ.พ. 1382 มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงการได้มาซึ่งกรรมสิทธิที่ดินโดยการครอบครอง ตามที่ประมวลกฎหมายที่ดินบัญญัติไว้" หรือ การร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้จัดการมรดก ตาม ป.พ.พ. 1713
ทนายเอก ขัตติยะ นวลอนงค์ น.บ.ท.62 ให้ความเห็นว่า
"สำหรับกรณีไม่มีกฎหมายบัญญัติรับรองให้ผู้ใดใช้สิทธิทางศาลได้ ก็ไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอต่อศาลได้ (ฎีกา 4530/2541, 100/2524)
ทนายอาวุโส ให้ข้อสังเกตว่า
1. การขอให้ศาลแสดงว่าได้กรรมสิทธิที่ดิน ตาม ป.พ.พ. 1382 หรือ ครอบครองปรปักษ์ เฉพาะที่ดินมีโฉนดเท่านั้น
2. สำหรับที่ดินมือเปล่า มีเพียงหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส.3, น.ส.3ก, ส.ค.1 หรือหนังสือไม่มีหลักฐานสิทธิใด ๆ เลยนั้น ไม่มีกฎหมายรับรองให้ยื่นคำร้องขอ จึงต้องยื่นเป็นคำฟ้อง (ฎีกา 5389/2549, 248/2537)
พี่ตุ๊กตา ทนาย ณุมาพร พัฒนพงศธร น.บ.ท.64 เปิด Juris แล้วให้ความเห็นดังนี้
1. ผู้ครอบครองปรปักษ์ที่ดิน มีสิทธิยื่นคำร้องขอต่อศาล เพื่อให้ศาลมีคำสั่งแสดงการได้มาซึ่งกรรมสิทธิที่ดินโดยการครอบครองได้ อย่างไรก็ตาม การยื่นคำร้องขอต่อศาลเป็นกรณีที่ไม่มีข้อโต้แย้งสิทธิ แต่มีความจำเป็นต้องใช้สิทธิทางศาล
2. และ ถ้าผู้ครอบครองปรปักษ์ที่ดิน ถูกโต้แย้งสิทธิด้วย ก็ต้องเสนอคดีต่อศาลโดยทำเป็นคำฟ้อง โดยฟ้องผู้ที่โต้แย้งสิทธิเป็นจำเลย เป็นคดีมีข้อพิพาท (ฎีกา 6536/2544)
จากข้อเท็จจริงที่ถามมา - ขอตอบตามฎีกา 6536/2544
TLC ได้นำฎีกา 4530/2541, 6536/2544 ฉบับเต็มมาลงไว้ดังนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4530/2541
ป.พ.พ. มาตรา 156 ป.วิ.พ. มาตรา 55, 188(1)
การที่บุคคลใดจะต้องใช้สิทธิทางศาล เป็นคดีไม่มีข้อพิพาทโดยทำเป็นคำร้องขอยื่นต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 55 และมาตรา 188(1) ต้องพิจารณาจากกฎหมายสารบัญญัติกล่าวคือ จะต้องมีกฎหมายบัญญัติรับรองให้ใช้สิทธิทางศาลโดยยื่นคำร้องขอในกรณีนั้น ๆ ได้ เมื่อไม่มีกฎหมายบัญญัติรับรองว่าหากผู้ร้องทำนิติกรรมยกที่ดินให้ผู้ใดไปแล้ว ให้ผู้ร้องใช้สิทธิทางศาลยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งว่านิติกรรมยกให้ดังกล่าวเป็นโมฆะได้แม้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 156 ที่ให้ผู้ร้องใช้สิทธิทางศาลยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งว่านิติกรรมเป็นโมฆะได้ก็เป็นเพียงหลักเกณฑ์ของกฎหมายที่จะทำให้นิติกรรมเป็นโมฆะเท่านั้น หาได้รับรองให้ผู้ร้องใช้สิทธิทางศาลโดยยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งว่านิติกรรมนั้นเป็นโมฆะแต่อย่างใดผู้ร้องจึงไม่สามารถใช้สิทธิทางศาลเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทได้
________________________________
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 3711 ต่อมาเดือนกุมภาพันธ์ 2537 ผู้ร้องประสงค์จะยกที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นางชมพูนุช ชินะโยธินนางสาวกอบมณี ชินะโยธิน นางสาวอรอุษา ชินะโยธินนางชนัดดา มฤทธิดา (ชินะโยธิน) และนายฉัตรชัย ชินะโยธิน ซึ่งเป็นบุตรทั้งห้าคนจึงได้ไปทำสัญญาให้และจดทะเบียนโอนที่สำนักงานที่ดินแต่เมื่อต้นปี 2540 ผู้ร้องทราบว่า ผู้รับให้มีเพียง 3 คน คือนางชนัดดา นางสาวอรอุษา และนายฉัตรชัย ซึ่งไม่ตรงกับเจตนาของผู้ร้อง อันเป็นการสำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรม ขอให้ศาลมีคำสั่งว่า นิติกรรมการให้ที่ดินดังกล่าวกระทำไปโดยสำคัญผิดเป็นโมฆะ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า กรณีตามคำร้องไม่มีกฎหมายรับรองให้ผู้ร้องใช้สิทธิทางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55โดยวิธียื่นคำร้องขอเป็นคดีไม่มีข้อโต้แย้ง ผู้ร้องต้องฟ้องเป็นคดีมีข้อโต้แย้งกับผู้ที่เกี่ยวข้องจึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่ามีเหตุเพิกถอนนิติกรรมตามคำร้องขอหรือไม่ ผู้ร้องไม่มีอำนาจยื่นคำร้องนี้ได้ ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องมีสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 156 ที่จะยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่งว่านิติกรรมยกให้เป็นโมฆะนั้น เห็นว่า การเสนอคดีต่อศาลกระทำให้ 2 วิธีวิธีแรกหากมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพ่งก็เสนอเป็นคดีมีข้อพิพาทโดยทำเป็นคำฟ้องยื่นต่อศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 55 และมาตรา 172 วิธีที่สองหากบุคคลใดจะต้องใช้สิทธิทางศาลก็เสนอเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทโดยทำเป็นคำร้องขอยื่นต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 และมาตรา 188(1)ส่วนกรณีใดบ้างที่บุคคลจะต้องใช้สิทธิทางศาลก็ต้องพิจารณาจากกฎหมายสารบัญญัติ กล่าวคือ จะต้องมีกฎหมายบัญญัติรับรองให้ใช้สิทธิทางศาลโดยยื่นคำร้องขอในกรณีนั้น ๆ ได้ กรณีของผู้ร้องไม่มีกฎหมายบัญญัติรับรองว่าหากผู้ร้องทำนิติกรรมยกที่ดินให้ผู้ใดไปแล้วให้ผู้ร้องใช้สิทธิทางศาลยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งว่านิติกรรมยกที่ดินให้ผู้ใดไปแล้วให้ผู้ร้องใช้สิทธิทางศาลยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งว่านิติกรรมยกให้เป็นโมฆะได้ ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 156 บัญญัติรับรองให้ผู้ร้องใช้สิทธิทางศาลยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งว่านิติกรรมเป็นโมฆะได้ก็เห็นว่าบทบัญญัติดังกล่าวเป็นเพียงหลักเกณฑ์ของกฎหมายที่จะทำให้นิติกรรมเป็นโมฆะเท่านั้น หาใช่บทบัญญัติที่รับรองให้ผู้ร้องใช้สิทธิทางศาลโดยยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งว่านิติกรรมนั้นเป็นโมฆะได้ ดังนั้น ผู้ร้องจะเริ่มคดีโดยทำเป็นคำร้องขอยื่นต่อศาลเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 และมาตรา 188(1) หาได้ไม่ ผู้ร้องจึงไม่อาจขอให้ศาลดำเนินการไต่สวนและมีคำสั่งตามคำร้องขอได้
พิพากษายืน
( ดุสิต เพชรปลูก - เหล็ก ไทรวิจิตร - สกนธ์ กฤติยาวงศ์ )
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6536/2544
ป.พ.พ. มาตรา 456, 1382 ป.วิ.พ. มาตรา 55, 188
กรณีที่จะเสนอคดีต่อศาลเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทโดยทำเป็นคำร้องขอได้นั้น หมายถึงกรณีที่ไม่มีบุคคลใดโต้แย้งสิทธิ แต่มีเหตุที่ผู้เสนอคดีจำต้องใช้สิทธิทางศาล
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยการครอบครองปรปักษ์ จำเลยโต้แย้งสิทธิของโจทก์โดยขอออกโฉนดที่ดินพิพาทเป็นชื่อของจำเลย ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง และให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเป็นชื่อโจทก์ โจทก์มิได้ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์เพียงประการเดียวอันจะเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทซึ่งโจทก์ต้องเสนอคดีของตนต่อศาลโดยทำเป็นคำร้องขอตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 188(1) จึงเป็นคดีมีข้อพิพาทซึ่งโจทก์ชอบที่จะเสนอคดีต่อศาลโดยทำเป็นคำฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ประกอบกับมาตรา 172 วรรคแรก
เอกสารการซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยระบุชื่อว่า"หนังสือสัญญาจะซื้อขายหรือสัญญาวางมัดจำ" แต่ไม่ได้ระบุข้อตกลงที่เป็นการแน่นอนว่าจะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กันหรือไม่เมื่อใด ประกอบกับโจทก์ได้ชำระค่าที่ดินให้แก่จำเลยครบถ้วนแล้วในวันทำสัญญาและจำเลยได้ส่งมอบที่ดินให้โจทก์เข้าครอบครองนับแต่วันดังกล่าว เป็นพฤติการณ์ที่เห็นได้ว่าโจทก์กับจำเลยไม่มีเจตนาจะจดทะเบียนโอนที่ดินต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด แม้จะตกเป็นโมฆะเนื่องจากมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคแรก แต่โจทก์เข้าครอบครองโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเกินกว่า 10 ปี โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองตามมาตรา 1382
________________________________
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 3011 จำนวนเนื้อที่ 51 ไร่2 งาน 56 ตารางวา มีชื่อจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับนางสาวสวิงและนางเรือง สถลนันท์ โดยจำเลยครอบครองที่ดินส่วนที่อยู่ทางทิศตะวันตกตลอดแนว ต่อมาเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม2527 จำเลยแบ่งขายที่ดินบางส่วนที่ครอบครองทางด้านทิศเหนือจำนวน 1,200 ส่วน หรือ 3 ไร่ ในราคา 60,000 บาท ให้แก่โจทก์นัดจดทะเบียนโอนภายหลังจากแบ่งแยกโฉนดที่ดิน โดยจำเลยส่งมอบที่ดินที่ขายให้โจทก์ครอบครองทำประโยชน์นับแต่วันทำสัญญาซื้อขาย โจทก์ครอบครองทำประโยชน์โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาเกิน 10 ปีต่อมาเมื่อต้นปี 2540 มีการรังวัดแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 3011โดยที่ดินส่วนที่จำเลยขายให้แก่โจทก์แบ่งแยกเป็นที่ดินโฉนดเลขที่26372 เนื้อที่ 2 ไร่ 3 งาน 6 ตารางวา มีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์โจทก์จึงติดต่อให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงดังกล่าวให้โจทก์แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้พิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 26372 เป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง ให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ หากไม่ไปให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า สัญญาจะซื้อขายมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงตกเป็นโมฆะ การครอบครองปรปักษ์ที่ดินต้องทำเป็นคำร้องขอมิใช่คำฟ้อง ทั้งการครอบครองที่ดินของโจทก์สิ้นสุดลงไปแล้วเมื่อจำเลยกับพวกทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดิน แล้วโจทก์มิได้คัดค้าน การครอบครองที่ดินของโจทก์ต้องเริ่มต้นนับใหม่ตั้งแต่วันนั้น ซึ่งคำนวณจนถึงวันฟ้องยังไม่ถึง 1 ปี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 26372 เลขที่ดิน288 ตำบลบ้านแหลม อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงรับฟังยุติได้ว่า เมื่อวันที่ 15ธันวาคม 2527 จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 3011 ตำบลบ้านแหลม อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี ส่วนที่จำเลยครอบครองบางส่วนซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของที่ดินซึ่งได้แก่ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ในราคา 60,000 บาท จำเลยได้รับชำระราคาครบถ้วนแล้วในวันทำสัญญาตามสัญญาจะซื้อขายเอกสารหมาย จ.3 และจำเลยได้มอบที่ดินพิพาทให้โจทก์ครอบครองตั้งแต่วันทำสัญญาโดยมิได้มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว โดยถมดิน ปลูกสร้างบ้านพักครึ่งตึกครึ่งไม้จำนวน 1 หลัง โรงไม้เพื่อใช้เก็บของจำนวน 2 หลัง ขุดบ่อเลี้ยงปลาจำนวน 1 บ่อ ปลูกต้นไม้ในที่ดินและต้นมะพร้าวกับต้นสะแกเป็นแนวเขตรั้วตามภาพถ่ายหมาย จ.4
พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายประการแรกตามฎีกาข้อ 2 ของจำเลยว่า โจทก์ยื่นคำฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยมิได้ทำเป็นคำร้องขอชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า กรณีที่จะเสนอคดีต่อศาลเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทโดยทำเป็นคำร้องขอนั้น หมายถึงกรณีที่ไม่มีบุคคลใดโต้แย้งสิทธิ แต่มีเหตุที่ผู้เสนอคดีจำต้องใช้สิทธิทางศาลส่วนคดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องโดยอ้างสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ว่าที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยการครอบครองปรปักษ์จำเลยได้กระทำการโต้แย้งสิทธิของโจทก์โดยขอออกโฉนดที่ดินพิพาทเป็นชื่อของจำเลย ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง และให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเป็นชื่อโจทก์ สภาพแห่งข้อหาตามคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวโจทก์มิได้ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์เพียงประการเดียว อันจะเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทซึ่งโจทก์ต้องเสนอคดีของตนต่อศาลโดยทำเป็นคำร้องขอตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 188(1)แต่โจทก์ยังขอให้บังคับจำเลยซึ่งเป็นผู้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นชื่อโจทก์ อีกทั้งห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทอีกด้วย จึงเป็นคดีมีข้อพิพาทซึ่งโจทก์ชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลส่วนแพ่งที่มีเขตอำนาจโดยทำเป็นคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ประกอบกับมาตรา 172 วรรคแรก คำพิพากษา ศาลฎีกาที่จำเลยอ้างมานั้นข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ในปัญหาข้อนี้ชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายตามฎีกาข้อ 3 ของจำเลยว่า โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ เห็นว่า แม้เอกสารหมาย จ.3 ซึ่งเป็นหลักฐานการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยจะระบุชื่อว่า "หนังสือสัญญาจะซื้อขายหรือสัญญาวางมัดจำ" ก็ตาม แต่ไม่ปรากฏว่าหนังสือดังกล่าวได้ระบุข้อความอันเป็นข้อตกลงที่เป็นการแน่นอนว่าโจทก์กับจำเลยจะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทกันหรือไม่เมื่อใด ประกอบข้อเท็จจริงก็รับฟังได้ว่าโจทก์ได้ชำระเงินค่าที่ดินพิพาทจำนวน 60,000 บาท ให้แก่จำเลยรับไปครบถ้วนแล้วในวันทำสัญญานั้นเอง และจำเลยก็ได้ส่งมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์เข้าครอบครองนับแต่วันทำหนังสือตามเอกสารหมาย จ.3 เป็นต้นไปเป็นพฤติการณ์ที่เห็นได้ว่าทั้งฝ่ายโจทก์กับจำเลยไม่มีเจตนาจะจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด มิใช่เป็นเพียงสัญญาจะซื้อขายตามที่จำเลยอ้างส่วนข้อความที่ระบุชื่อว่าเป็นหนังสือสัญญาจะซื้อขายหรือสัญญาวางมัดจำนั้นเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่โจทก์กับจำเลยได้นำแบบฟอร์มของหนังสือสัญญาดังกล่าวมาใช้เพื่อความสะดวกแก่การทำสัญญาเท่านั้น และแม้สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยตามเอกสารหมาย จ.3 จะตกเป็นโมฆะเนื่องจากมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคแรกก็ตาม แต่การที่โจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทนั้นเป็นการครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมิใช่เป็นการครอบครองที่ดินพิพาทแทนจำเลยตามสัญญาจะซื้อขายดังที่จำเลยกล่าวอ้างแต่อย่างใด เมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้ครอบครองที่ดินพิพาทต่อกันมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 7 ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน"
พิพากษายืน
( ปัญญา สุทธิบดี - พูนศักดิ์ จงกลนี - วิชา มหาคุณ )
หมายเหตุ
การเสนอคดีต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 55 แบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ กรณีที่มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลตามกฎหมายแพ่ง กับกรณีที่บุคคลใดจะต้องใช้สิทธิทางศาลซึ่งไม่จำเป็นต้องถูกโต้แย้งสิทธิด้วย เมื่อพิจารณามาตรา 170 ถึงมาตรา 172 และมาตรา 188 แล้ว สำหรับกรณีแรกต้องเสนอข้อหาโดยทำเป็นคำฟ้องเป็นคดีมีข้อพิพาท ส่วนกรณีหลังต้องเริ่มคดีโดยทำเป็นคำร้องขอเป็นคดีไม่มีข้อพิพาท
การเสนอคดีต่อศาลแม้จะแบ่งออกได้เป็น 2 กรณีดังกล่าวแต่อาจมีเหตุทั้งสองกรณีเกิดขึ้นซ้อนกันโดยบุคคลนั้นเป็นทั้งผู้ที่ถูกโต้แย้งสิทธิและจะต้องใช้สิทธิทางศาลด้วยก็ได้กรณีเช่นนี้บุคคลที่จะเสนอคดีต่อศาลย่อมมีสิทธิที่จะเลือกเสนอคดีด้วยการทำเป็นคำฟ้องหรือคำร้องขอก็ได้ โดยต้องคำนึงถึงประโยชน์ที่จะได้รับที่แตกต่างกัน วิธีพิจารณาที่จะนำมาใช้บังคับแก่คดีและคำขอบังคับตามคำฟ้องหรือคำร้องขอก็แตกต่างกันด้วยแต่ความสำคัญอยู่ที่เหตุที่จะเสนอคดีกับคำขอบังคับจะต้องสอดคล้องกัน และตรงตามความประสงค์ของบุคคลนั้น ดังนั้นที่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่ากรณีที่จะเสนอคดีต่อศาลโดยทำเป็นคำร้องขอจะต้องเป็นกรณีที่ไม่มีการโต้แย้งสิทธินั้นน่าจะแคบเกินไป เพราะบุคคลที่ถูกโต้แย้งสิทธิและจำเป็นต้องใช้สิทธิทางศาลด้วยในขณะเดียวกันชอบที่จะเสนอคดีของตนโดยทำเป็นคำร้องขอก็ได้ แต่จะต้องมีคำขอในสิ่งที่ตนมีสิทธิอยู่ตามที่กฎหมายสารบัญญัติได้กำหนดไว้
คดีนี้โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้ว การที่จำเลยนำที่ดินดังกล่าวไปแบ่งแยกออกโฉนดที่ดินเป็นชื่อจำเลยถือกรรมสิทธิ์ ถือได้ว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ขณะเดียวกันโจทก์ก็เป็นผู้ที่ต้องใช้สิทธิทางศาลตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 78เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งรับรองกรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็นของโจทก์ตามมาตรา 1382 แต่มาตรา 78 ให้สิทธิแก่โจทก์ที่จะร้องขอให้ศาลมีคำสั่งดังกล่าวเท่านั้น จะขอให้ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องและให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินเป็นของโจทก์ไม่ได้ โจทก์จึงเลือกเสนอคดีต่อศาลโดยทำเป็นคำฟ้อง
ไพโรจน์ วายุภาพ
คำพิพากษาศาลฎีกาเหล่านี้ ThaiLawConsult นำมาจากระบบสืบค้นคำพิพากษาฎีกา วันที่ 25-ก.ย.-2557

