ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร น.บ.ท.64 ผู้เรียบเรียง
ยกหูถึง "พี่ตุ๊กตา"

 

เรื่องที่ 67      ห้ามรับฟังพยานบอกเล่า...เว้นแต่...


                    18 ตุลาคม 2557 เปิดทีวียุคดิจิตอล มีข่าว พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ให้สัมภาษณ์หลังกลับจากการประชุม APEC ที่อิตาลี ว่า "ไม่มีการต่อต้านผมเลย"

                    ทีมทนาย Thai Law Consult ได้รับ e-mail จากทนายหนุ่ม ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สอบถามเรื่อง "ไม่ได้นำสืบตัวความในคดีร้องขัดทรัพย์ แต่นำสืบผู้รับมอบอำนาจของผู้ร้องขัดทรัพย์ , ผู้ขายที่ดิน , ผู้เขียนสัญญาซื้อขาย , ผู้ใหญ่บ้านที่ที่ดินพิพาทตั้งอยู่ , ภาพถ่ายที่ดินพิพาท แสดงข้อเท็จจริงอย่างชัดเจนว่า ผู้ร้องได้ซื้อที่ดินพิพาทและครอบครองทำประโยชน์ตลอดมา ที่ดินพิพาท น.ส.3ก เป็นของผู้ร้อง จำเลยหรือลูกหนี้ในคดีหลักไม่ใช่เจ้าของที่ดินที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ ขอศาลได้โปรดมีคำสั่งปล่อยทรัพย์ที่ยึด อย่าให้ถูกขายทอดตลาด"

เมื่อได้รับสำเนาคำพิพากษา ทีมทนาย Thai Law Consult จึงทราบว่า ศาลมีคำวินิจฉัยในทำนองดังนี้

1.  จำเลยกู้เงินโจทก์ โดยจำนองที่ดินพิพาท น.ส.3ก เป็นประกัน แล้วผิดนัด โจทก์ฟ้อง และบังคับคดีที่ดิน น.ส.3ก นี้ ขายทอดตลาด

1.1   "เนื่องจาก จำเลย มีชื่อใน น.ส.3ก ถือสิทธิครอบครองในทะเบียนที่ดิน ภาระการพิสูจน์ตามกฎหมายจึงตกแก่ผู้ร้องขัดทรัพย์ ที่ต้องนำสืบให้ได้ว่า ผู้ร้องซื้อที่ดินพิพาทจริง โดยที่ดินพิพาท ไม่ใช่ทรัพย์ของจำเลย ตาม ป.พ.พ. 1373 ประกอบ ป.วิ.พ. 84"

1.2  แต่ในวันสืบพยานผู้ร้อง ผู้ร้องไม่ยอมเบิกความเอง เพื่อยืนยันถึงข้อเท็จจริงโดยตรง กลับนำเอาผู้รับมอบอำนาจของผู้ร้องที่ไม่รู้เรื่องใดๆ เกี่ยวกับสัญญาซื้อขายแต่แรกมาเบิกความแทน...จึงเห็นว่า ผู้ร้องกลัวที่จะเบิกความผิดพลาด จากการที่จะถูกทนายโจทก์และทนายจำเลยถามค้าน ลักษณะแนวทางการนำสืบพยานดังกล่าว จึงเป็นการดำเนินคดีที่บกพร่อง และไม่สมกับภาระการพิสูจน์ของฝ่ายผู้ร้องทั้งสองตามกฎหมาย

1.3  ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า ที่ดินพิพาททั้ง 2 แปลง เป็นของจำเลย ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ร้องไม่ได้เป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทในคดีนี้ ส่วนปัญหาข้ออื่นนั้น ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป ผู้ร้องขัดทรัพย์ไม่มีสิทธิขอให้ปล่อยทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้

 

23 ตุลาคม 2557 วันปิยะมหาราช เป็นโอกาสที่ทีมทนาย TLC เข้ามาปรึกษาและติดตามคดีประจำสัปดาห์ ที่สำนักงานทนายความสมปราถน์และเพื่อน อาคารพิบูลย์คอนโดวิลล์ ซอยกรุงเทพนนทบุรี 44 บางซื่อ กรุงเทพฯ จึงช่วยกันเรียบเรียงบทความนี้ เป็นความรู้กฎหมายสู่ประชาชน

 

หลักกฎหมาย

A.  การรับฟังพยานบุคคล ป.วิ.พ. มาตรา 95

มาตรา 95 ห้ามมิให้ยอมรับฟังพยานบุคคลใดเว้นแต่บุคคลนั้น
(1) สามารถเข้าใจและตอบคำถามได้ และ
(2) เป็นผู้ที่ได้เห็น ได้ยิน หรือทราบข้อความเกี่ยวในเรื่องที่ให้การ เป็นพยานนั้นมาด้วยตนเองโดยตรง แต่ความในข้อนี้ให้ใช้ได้ต่อเมื่อ ไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายโดยชัดแจ้งหรือคำสั่งของศาลว่าให้เป็นอย่างอื่น 
ถ้าศาลไม่ยอมรับไว้ซึ่งคำเบิกความของบุคคลใด เพราะเห็นว่า บุคคลนั้นจะเป็นพยานหรือให้การดั่งกล่าวข้างต้นไม่ได้ และคู่ความฝ่าย ที่เกี่ยวข้องร้องคัดค้านก่อนที่ศาลจะดำเนินคดีต่อไป ให้ศาลจดรายงาน ระบุนาม พยาน เหตุผลที่ไม่ยอมรับและข้อคัดค้านของคู่ความฝ่าย ที่เกี่ยวข้องไว้ ส่วนเหตุผลที่คู่ความฝ่ายคัดค้านยกขึ้นอ้างนั้นให้ศาล ใช้ดุลพินิจจดลง ไว้ในรายงานหรือกำหนดให้คู่ความฝ่ายนั้นยื่น คำแถลงต่อศาลเพื่อรวมไว้ในสำนวน 

B.  เงื่อนไขการรับฟังพยานบอกเล่า ป.วิ.พ. มาตรา 95/1 (บัญญัติเพิ่มเติมปี 2550)

มาตรา 95/1 ข้อความซึ่งเป็นการบอกเล่าที่พยานบุคคลใดนำมาเบิกความต่อศาลก็ดี หรือ ที่บันทึกไว้ในเอกสารหรือวัตถุอื่นใดซึ่งได้อ้างเป็นพยานหลักฐานต่อศาลก็ดี หากนำเสนอเพื่อพิสูจน์ความจริงแห่งข้อความนั้น ให้ถือเป็นพยานบอกเล่า
ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานบอกเล่า เว้นแต่
(1) ตามสภาพ ลักษณะ แหล่งที่มา และข้อเท็จจริงแวดล้อมของพยานบอกเล่านั้น น่าเชื่อว่าจะพิสูจน์ความจริงได้ หรือ
(2) มีเหตุจำเป็นเนื่องจากไม่สามารถนำบุคคลซึ่งเป็นผู้ที่ได้เห็น ได้ยิน หรือทราบข้อความเกี่ยวในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นด้วยตนเองโดยตรงมาเป็นพยานได้ และมีเหตุผลสมควรเพื่อ ประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะรับฟังพยานบอกเล่านั้น
ในกรณีที่ศาลเห็นว่าไม่ควรรับไว้ซึ่งพยานบอกเล่าใด ให้นำความใน มาตรา 95 วรรคสอง มาใช้บังคับโดยอนุโลม

 

ทนายอู๋ อุดมศักดิ์ ศักดิ์ธงชัย น.บ.ท.64 ให้ความเห็นว่า ตามกฎหมายปี 2550

1.  พยานบอกเล่า มีทั้งพยานบุคคล พยานเอกสาร พยานวัตถุ

2.  พยานบอกเล่า ที่เป็นพยานบุคคล หมายถึง พยานที่เบิกความนั้น ไม่ได้ยิน หรือ ทราบข้อความเกี่ยวกับเรื่องที่จะเบิกความ / ให้การ เป็นพยานนั้นด้วยตนเองโดยตรง แต่ได้รับคำบอกเล่าจากผู้เห็นเหตุการณ์หรือทำสัญญา

3.  พยานบุคคลที่รับฟังได้นั้น ต้องเป็นผู้ที่ได้เห็น ได้ยิน หรือทราบข้อความเกี่ยวกับเรื่องที่จะให้การเป็นพยานด้วยตนเองโดยตรง หรือเรียกว่า ประจักษ์พยาน

 

คำแนะนำ

1.  พยานคู่ หรือ ประจักษ์พยานหลายคนที่เห็นเหตุการณ์เดียวกัน โดยทั่วไปศาลจะให้มาเบิกความในคราวเดียวกัน เพื่อไม่ให้พยานที่มาเบิกความคนหลังมีโอกาสได้ล่วงรู้คำเบิกความพยานคนก่อน เพื่อประโยชน์แก่ศาลในการชั่งน้ำหนัก ตัวพยาน ว่าสอดคล้องกันหรือแตกต่างกันในสาระสำคัญหรือไม่

2.  แต่ถ้าไม่ได้นำพยานคู่มาเบิกความในคราวเดียวกัน ก็ไม่มีกฎหมายห้ามมิให้รับฟัง

 

ตาม ป.วิ.พ. 95/1 (ปี 2550)

1.  พยานบอกเล่า คือ พยานที่ไม่ได้เห็น - ไม่ได้ยิน - ไม่ได้ทราบข้อความเกี่ยวกับเรื่องที่จะให้การเป็นพยาน ได้แก่

1.1  ข้อความที่เป็นการบอกเล่า ที่พยานบุคคลนำมาเบิกความต่อศาล

1.2  ข้อความที่บันทึกไว้ในเอกสารหรือวัตถุอื่นใด ซึ่งได้อ้างเป็นพยานหลักฐานต่อศาล (หากนำเสนอเพื่อพิสูจน์ความจริงแห่งข้อความนั้น เรียกว่า พยานบอกเล่า)

2.  ปกติ พยานบอกเล่า รับฟังไม่ได้ เว้นแต่มีกฎหมายบัญญัติไว้ชัดแจ้ง หรือมีคำสั่งศาลเป็นอย่างอื่น ตามมาตรา 95(2) ตอนท้าย และ 95/1(1)(2)

 

ทนายอาวุโส ให้ความเห็นทาง e-mail จากหน้าโรงเรียนบ้านบางฉาง เขตเทศบาลตำบลสิชล นครศรีธรรมราช ดังนี้

ตาม ป.วิ.พ. 91/1 วรรค 2 ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานบอกเล่า เว้นแต่ (1) ตามสภาพ ลักษณะ แหล่งที่มา และข้อเท็จจริงแวดล้อมของพยานบอกเล่านั้น น่าเชื่อว่าจะพิสูจน์ความจริงได้ เช่น

 

(A)  คำบอกเล่า ที่กล่าวถึง ข้อเท็จจริงอย่างมีเหตุผล ศาลรับฟังประกอบพยานอื่นได้ (ฎีกาที่ 1522/2528)

(B)  คำบอกเล่า ที่เป็นคำกล่าวที่เป็นปฏิปักษ์ต่อผลประโยชน์ของตนเอง ก็รับฟังได้ เพราะหากไม่เป็นความจริง คงไม่กล่าวเช่นนั้น (ฎีกาที่ 1057/2525)

(C)  คำบอกเล่า ในขณะกระชั้นชิดกับการเกิดเหตุ รับฟังได้ เพราะไม่ทันคิดปรุงแต่ง บิดเบือนข้อเท็จจริง

(D)  คำบอกเล่า ของผู้ตายในขณะที่รู้ตัวว่ากำลังจะตาย รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ (ฎีกาที่ 5916/2531)

 

พี่ตุ๊กตา ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร น.บ.ท.64 ให้ความเห็นว่า

1.  ข้อยกเว้น ตามมาตรา 95/1 (2) กรณีมีเหตุจำเป็นไม่สามารถนำประจักษ์พยานมาเบิกความได้ และมีเหตุสมควร เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ที่จะรับฟังพยานบอกเล่านั้น เช่น ประจักษ์พยานเคยให้การต่อพนักงานสอบสวนไว้แล้ว ต่อมาถึงแก่ความตายก่อนมาเบิกความ ศาลอาจรับฟังคำให้การในชั้นสอบสวนซึ่งเป็นพยานบอกเล่าได้

2.  ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ มิใช่พยานบอกเล่า ศาลรับฟังประกอบดุลพินิจของศาลได้

 

"ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226/3 ที่เพิ่มเข้ามาในปี 2550 ได้กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการรับฟังพยานบอกเล่าไว้แล้ว โดยมีหลักเกณฑ์เหมือนกับ ป.วิ.พ. มาตรา 95/1...ดังนั้น คดีอาญา ทนายความสามารถอ้าง ป.วิ.อ. 226/3 โดยตรงเลยครับ..."

มาตรา 226/3 ข้อความซึ่งเป็นการบอกเล่าที่พยานบุคคลใดนำมาเบิกความต่อศาล หรือที่บันทึกไว้ในเอกสารหรือวัตถุอื่นใดซึ่งอ้างเป็นพยานหลักฐานต่อศาล หากนำเสนอเพื่อพิสูจน์ความจริงแห่งข้อความนั้น ให้ถือเป็นพยานบอกเล่า
ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานบอกเล่า เว้นแต่
(1) ตามสภาพ ลักษณะ แหล่งที่มา และข้อเท็จจริงแวดล้อมของพยานบอกเล่านั้น น่าเชื่อว่าจะพิสูจน์ความจริงได้ หรือ
(2) มีเหตุจำเป็น เนื่องจากไม่สามารถนำบุคคลซึ่งเป็นผู้ที่ได้เห็น ได้ยิน หรือทราบข้อความเกี่ยวในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นด้วยตนเองโดยตรงมาเป็นพยานได้ และมีเหตุผลสมควร เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะรับฟังพยานบอกเล่านั้น
ในกรณีที่ศาลเห็นว่าไม่ควรรับไว้ซึ่งพยานบอกเล่าใด และคู่ความฝ่ายที่เกี่ยวข้องร้องคัดค้าน ก่อนที่ศาลจะดำเนินคดีต่อไป ให้ศาลจดรายงานระบุนาม หรือชนิดและลักษณะของพยานบอกเล่า เหตุผลที่ไม่ยอมรับ และข้อคัดค้านของคู่ความฝ่ายที่เกี่ยวข้องไว้ ส่วนเหตุผลที่คู่ความฝ่ายคัดค้านยกขึ้นอ้างนั้น ให้ศาลใช้ดุลพินิจจดลงไว้ในรายงานหรือกำหนดให้คู่ความฝ่ายนั้น ยื่นคำแถลงต่อศาลเพื่อรวมไว้ในสำนวน

 

TLC นำเนื้อหามาจาก พยานพิสดาร หรือ Juris ฉบับปี 2553 ของอาจารย์วิเชียร ดิเรกอุดมศักดิ์

 

ข้อเท็จจริงที่ถามมา มีปัญหาว่า จะเขียนอุทธรณ์อย่างไรครับ

พี่ดำ ทนายสมปราถน์ ฮั่นเจริญ ทนายอาวุโส หรืออาจารย์ดำ ให้ความเห็นดังนี้

1.  ศาลยกฟ้อง โดยให้เหตุผลว่า ข้อนำสืบของผู้ร้องบกพร่อง ไม่สมภาระการพิสูจน์

2.  ศาลวินิจฉัยปัญหาแรกว่า ผู้ร้องไม่ใช่ผู้ซื้อที่ดินพิพาท จึงไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาอื่น เพราะไม่มีผลทำให้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไป แล้วยกฟ้อง

3.  อุทธรณ์ จึงควรเขียนแนวนี้ครับ

4.  ทีมทนาย TLC นำมาจากสำนวนอุทธรณ์คดีเก่าของ สนง.ทนายความสมปราถน์และเพื่อน เพื่อเป็นการเผยแพร่ความรู้กฎหมายสู่ประชาชน

--------------------

ข้อ  ๓.  ด้วยความเคารพต่อคำพิพากษาศาลชั้นต้น    แต่ผู้ร้องทั้งสอง ไม่เห็นพ้องด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น จึงขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค  ได้โปรดวินิจฉัยโดยละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ทั้งข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย ดังที่ผู้ร้องจะกล่าวดังนี้ 
            ๓.๑  ปัญหาประการแรกว่า ข้อนำสืบของผู้ร้องบกพร่องไม่สมกับภาระการพิสูจน์  ผู้ร้องขอประทานกราบเรียนศาลอุทธรณ์ภาค    ว่าผู้ร้องทั้งสอง  มีพยานคือผู้รับมอบอำนาจเบิกความถึงข้อเท็จจริงตามคำร้องว่า ผู้ร้องได้เป็นเจ้าของทรัพย์พิพาทที่โจทก์นำยึด  โดยผู้ร้องที่  ๑  ได้ซื้อที่ดินบางส่วนของที่ดินน.ส.๓เลขที่ หรือ ที่ดินพิพาทแปลงที่ ๑เนื้อที่ประมาณ  ๒๙  ไร่  มาจากนายสน    โดยมีนายทร    ผู้เขียนสัญญาซื้อขาย ยืนยันข้อนำสืบของผู้ร้องทั้งสองว่า  ผู้ร้องที่  ๑  เป็นเจ้าของและครอบครองที่พิพาทแปลงที่  ๑  เรื่อยมา และมีนายเสือ  ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านเป็นเจ้าหน้าที่ปกครองท้องที่ของรัฐที่ที่ดินพิพาทตั้งอยู่ ก็เบิกความยืนยันถึงสิทธิของผู้ร้องที่  ๑  ดังกล่าว  ประกอบกับนางอ่อน บุตรสาวของนายสน  เจ้าของที่ดินเดิม หรือผู้ขาย ก็เบิกความยืนยันถึงสิทธิของผู้ร้องที่ ๑ 

            ส่วนที่ดินแปลงที่  ๒ เนื้อที่๓ไร่๗๒ตารางวา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินน.ส.๓เลขที่ นาง อ่อน  ผู้ขายที่ดิน  ได้เบิกความยืนยัน  ถึงการซื้อขายที่ดินแปลงนี้ให้แก่ผู้ร้องที่  ๒  และผู้ร้องที่  ๒  เข้าครอบครองทำประโยชน์ทันที ที่มีการซื้อขาย ประกอบกับนายเสือ  ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านเจ้าหน้าที่รัฐผู้ปกครองท้องที่ที่ดินพิพาทตั้งอยู่  ก็ยังยืนยันถึงข้อเท็จจริงนี้ว่า  ผู้ร้องที่ ๒  ได้ซื้อและครอบครองทำประโยชน์ที่ดินแปลงที่  ๒  นี้จริง  ที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยว่า  การนำสืบของผู้ร้องทั้งสองไม่มีน้ำหนัก และรับฟังไม่ได้ว่าเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท  ผู้ร้องทั้งสองจึงไม่เห็นพ้องด้วยกับคำวินิจฉัย  ผู้ร้องทั้งสองขอประทานกราบเรียนต่อศาลอุทธรณ์ภาค   ว่า  ข้อนำสืบของผู้ร้องทั้งสองมีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่า ผู้ร้องทั้งสองเป็นเจ้าของที่ดินที่โจทก์นำยึด

***หมายเหตุ ๑  ***  นาง  อ่อน  เป็นบุตรสาวของนายสน    ผู้ขายที่ดินแปลงที่  ๑  ซึ่งเดิมเป็นเจ้าของที่ดินแปลงพิพาท  หากนายสน   ไม่ได้ขายที่ดินพิพาทแปลงที่  ๑  ให้ผู้ร้องที่  ๑  นาง  อ่อน  ย่อมไม่เบิกความให้เป็นปรปักษ์ กับนายสน    บิดาของตนเอง

***หมายเหตุ  ๒*** นาง  อ่อน  เป็นผู้ขายที่ดินแปลงที่  ๒  ให้แก่ผู้ร้องที่  ๒  จึงเกิดสิทธิแก่ผู้ร้องที่  ๒  ตามกฎหมาย หากนางอ่อน  ไม่ได้ขายที่ดินแปลงที่  ๒  ให้แก่ผู้ร้องที่  ๒  ดังกล่าวจริง  ก็ไม่มีเหตุที่นางอ่อน  จะเบิกความเพื่อประโยชน์ของผู้ร้องที่  ๒  ให้เป็นปรปักษ์แก่ตัวนางอ่อนเอง  ดังนั้นคำเบิกความของนางอ่อนจึงรับฟังได้ว่า  ผู้ร้องทั้งสอง ได้ซื้อที่ดินพิพาททั้งสองแปลงและได้ครอบครองทำประโยชน์ เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน  ซึ่งที่ดินพิพาทที่โจทก์นำยึดในคดีนี้เป็นที่ดินมือเปล่า หรือ นส.๓ ย่อมสมบูรณ์ เมื่อส่งมอบการครอบครอง  ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ผู้ร้องทั้งสองไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาท  ด้วยความเคารพ ผู้ร้องทั้งสองไม่อาจเห็นพ้องด้วย จึงขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค ... ที่เคารพได้โปรดวินิจฉัยคดีนี้ โดยละเอียดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม

            ๓.๒  ปัญหาประการที่สอง  ผู้ร้องทั้งสองได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทจริงหรือไม่  ผู้ร้องทั้งสองมีพยานบุคคลนำสืบยืนยันต่อศาล คือว่านายเสือ  ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านผู้ปกครองท้องที่ ที่ดินพิพาทตั้งอยู่ได้เบิกความยืนยันว่า ผู้ร้องทั้งสองได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทดังกล่าว  ตั้งแต่ที่มีการซื้อขายที่ดินดังกล่าวจริง และนาง  อ่อน ก็เบิกความยืนยันสนับสนุนว่าผู้ร้องทั้งสองเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท  จึงเจือสมกับคำเบิกความ พยานผู้รับมอบอำนาจของผู้ร้องทั้งสอง  ส่วนนายทร  ก็เบิกความยืนยันว่าผู้ร้องทั้งสองได้ครอบครอง และทำประโยชน์ในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงจริง  ข้อเท็จจริง จึงรับฟังได้ว่า ผู้ร้องทั้งสองเป็นเจ้าของที่ดินแปลงพิพาท ทั้งสองแปลง ที่โจทก์นำยึดในคดีนี้  ถึงแม้ว่าผู้ร้องทั้งสอง จะไม่ได้มาเบิกความยืนยันต่อศาลเอง ในประเด็นดังกล่าวก็ตาม  ก็หาทำให้ข้อเท็จจริงที่ว่า  ผู้ร้องทั้งสองเป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทจากนายสน  และ  นางอ่อน และเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงดังกล่าวจริง เปลี่ยนแปลงไปไม่ 
สำหรับเอกสารทางทะเบียน ที่ดินมือเปล่าหรือ น.ส.๓  ถึงแม้ว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นชื่อผู้ร้องทั้งสองก็ตาม ก็ย่อมสมบูรณ์ด้วยการส่งมอบการครอบครอง  มีผลผูกพันให้บังคับกันได้ ดังนั้นแม้การที่นาง  อ่อน  มีชื่อใน น.ส.๓ที่ดินพิพาท  มีผลทำให้นาง  อ่อน ยังได้รับคำรับรองของทางราชการโดยพนักงานเจ้าหน้าที่ว่า  นาง  อ่อน  เป็นผู้ทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทดังกล่าวตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา  ๔ ทวิ และนาง  อ่อน ยังได้รับประโยชน์ในข้อสันนิษฐานของกฎหมาย ในฐานะที่มีชื่อในทะเบียนที่ดินว่า เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  ๑๓๗๓  แต่สิทธิของนาง  อ่อนที่ได้รับตามกฎหมายไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง  เมื่อนาง  อ่อน  แบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาท ซึ่งไม่ใช่ที่ดินของนาง อ่อน เองแล้ว  ให้แก่จำเลยที่  ๑  จำเลยที่  ๑  จึงหามีสิทธิในที่ดินพิพาทไม่ ตามหลักของผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน ทั้งนี้ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่  ๕๔๗๙/๒๕๔๓

            ดังนั้นต่อมา การที่จำเลยที่  ๑  นำที่ดินพิพาททั้งสองแปลง ซึ่งหาใช่ที่ดินของจำเลยที่  ๑  เองไปจำนองไว้กับโจทก์ จึงไม่ชอบ เพราะจำเลยที่  ๑  ไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาท เมื่อนำที่ดินพิพาทไปจำนองจึงเป็นการต้องห้าม  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  ๗๐๕  การจำนองจึงไม่เป็นผล โดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้รับจำนอง หรือโจทก์สุจริตหรือไม่  การได้ที่ดินมาโดยการซื้อขายและวิธีการส่งมอบการครอบครอง เป็นการได้มาโดยทางนิติกรรมไม่อยู่ในบังคับของมาตรา  ๑๒๙๙  วรรคสอง ทั้งนี้ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๑๔๙/๒๕๓๘

-------------------------------

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1522/2528

ป.วิ.อ. มาตรา 15, 226, 227             ป.วิ.พ. มาตรา 95

          ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 95 ซึ่งนำมาใช้ในการพิจารณาคดีอาญา โดยอาศัยมาตรา 15 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาแม้จะบัญญัติห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานบุคคลใด เว้นแต่บุคคลนั้นเป็นผู้ที่ได้เห็นได้ยิน หรือทราบข้อความเกี่ยวในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นมาด้วยตนเองโดยตรงแต่ก็มีข้อยกเว้นต่อไปว่าความในข้อนี้ให้ใช้ได้ต่อเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายโดยชัดแจ้งหรือคำสั่งศาลว่าให้เป็นอย่างอื่นจึงมิได้ห้ามโดยเด็ดขาดมิให้รับฟังพยานบอกเล่าเสียทีเดียวประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 226 บัญญัติว่าพยานวัตถุ พยานเอกสาร หรือพยานบุคคลซึ่งน่าจะพิสูจน์ได้ว่าจำเลยมีผิดหรือบริสุทธิ์ ให้อ้างเป็นพยานหลักฐานได้และมาตรา 227 วรรคแรก ก็บัญญัติให้ศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวงคำพยานบอกเล่าที่กล่าวถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอย่างมีเหตุผล ศาลย่อมใช้ดุลพินิจรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ เพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้

________________________________

          โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกได้ร่วมกันทำลาย ทำให้เสื่อมสภาพที่ดินที่ทราย ในบริเวณอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9(2), 108 ทวิ วรรคสอง, ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 96 ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2515 ข้อ 11 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 ฯลฯ และริบทรายของกลาง

          จำเลยให้การรับสารภาพว่า ได้กระทำความผิดในบริเวณหาดตาพาจริง แต่ให้การปฏิเสธว่า มิได้กระทำความผิดในบริเวณหาดบ้านนายโชติเก่า

          ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9(2),108 ทวิ วรรคสอง ลงโทษจำคุกกระทงละ 6 เดือน ลดโทษให้เฉพาะกระทงแรกแล้วรวมจำคุก 9 เดือน คืนของกลางบางส่วนให้จำเลย ที่เหลือให้ริบ

          จำเลยอุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

          จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย

          ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ที่จำเลยฎีกาว่า การที่ศาลอุทธรณ์รับฟังคำเบิกความของนายชาญยุทธ แสงอรุณรุ่งรัตน์ และนายบุญมี ทรัพย์เรือง ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 95(2) เพราะเป็นพยานบอกเล่าไม่เป็นผู้ที่ได้เห็น ได้ยิน หรือทราบข้อความเกี่ยวในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นมาด้วยตนเองพิเคราะห์แล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 95 ซึ่งนำมาใช้ในการพิจารณาคดีอาญาโดยอาศัยมาตรา 15 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญานั้น แม้จะบัญญัติห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานบุคคลใด เว้นแต่บุคคลนั้นเป็นผู้ที่ได้เห็น ได้ยิน หรือทราบข้อความเกี่ยวในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นมาด้วยตนเองโดยตรงก็ตาม แต่มีข้อยกเว้นต่อไปว่าความในข้อนี้ให้ใช้ได้ต่อเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายโดยชัดแจ้งหรือคำสั่งศาลว่าให้เป็นอย่างอื่น จึงมิได้ห้ามโดยเด็ดขาดมิให้รับฟังพยานบอกเล่าเสียทีเดียว ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 บัญญัติว่า พยานวัตถุพยานเอกสารหรือพยานบุคคลซึ่งน่าจะพิสูจน์ได้ว่าจำเลยมีผิดหรือบริสุทธิ์ ให้อ้างเป็นพยานหลักฐานได้ และมาตรา 227 วรรคแรก ก็บัญญัติให้ศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวง ฉะนั้น คำพยานบอกเล่าที่กล่าวถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอย่างมีเหตุผล ศาลย่อมใช้ดุลพินิจรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ เพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้

          พิพากษายืน

( สกุล เศรษฐสุข - สหัส สิงหวิริยะ - จุนท์ จันทรวงศ์ )

 

คำพิพากษาศาลฎีกาเหล่านี้ ThaiLawConsult นำมาจากระบบสืบค้นคำพิพากษาฎีกา วันที่ 25 ตุลาคม 2557