ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร น.บ.ท.64 ผู้เรียบเรียง
ยกหูถึง "พี่ตุ๊กตา"
เรื่องที่ 33 ที่ดิน น.ส. 3 ก ร้องขัดทรัพย์ และฟ้องเพิกถอน (คำถามจากโรงพยาบาลสวนดอก เชียงใหม่)
ขอโทษนะคะ พอดีสัปดาห์นี้ พี่ตุ๊กตาและทีมทนายความ ThaiLawConsult ต้องเตรียมคดี และติดสืบพยานในศาล 3 คดี จึงตอบไม่ทัน เบื้องต้น ขอแนะนำและให้ดูฎีกาต่อไปนี้ก่อน
1. ต้องรีบยื่นคำร้องขัดทรัพย์ในคดีเดิมที่ศาลที่มีคำพิพากษาและออกหมายบังคับคดี ยึดที่ดินขายทอดตลาด (ควรปรึกษาทนาย และเจ้าพนักงานบังคับคดีต้นเรื่องโดยเร็วที่สุด)
2. เมื่อยื่นคำร้องขัดทรัพย์แล้ว รีบนำสำเนาคำร้องฉบับที่ศาลประทับฟ้อง และให้เจ้าหน้าที่ศาลรับรองแล้ว ไปให้เจ้าพนักงานบังคับคดีโดยเร็วที่สุด เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้รับสำเนาคำร้องแล้ว จะสั่งงดการขายทอดตลาดทันที
3. ต้องระวัง ... อย่าไปยื่นขัดทรัพย์หลังจากมีการขายทอดตลาดแล้ว จะหมดสิทธิในที่ดิน
4. ฎีการ้องขัดทรัพย์ ที่น่าสนใจและใกล้เคียงกับคำถาม คือ ฎีกาที่ 8698/2549
5. จากนั้น หาทนายฟ้องเพิกถอน น.ส. 3 ก เพราะ น.ส. 3 ก มีชื่อบุคคลอื่น เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ (ไม่ได้โต้แย้งสิทธิในที่ดิน)
6. จากข้อ 5. ทนายความอาจตั้งเรื่องว่า ละเมิด เรียกค่าเสียหาย เพิกถอน น.ส.3 พี่ตุ๊กตา ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร น.บ.ท.64 แห่ง Thai Law Consult โทร. 098-915-0963 คาดว่าฎีกาที่่ 5738-5739/2545 น่าจะใกล้เคียงเรื่องที่เกิดขึ้นที่สุด
7. พี่ตุ๊กตา และทีมทนาย ThaiLawConsult ได้วางแผนกันไว้ว่า จะนำเรื่องเกี่ยวกับการขายทอดตลาด หลักกฎหมายและตัวอย่างคดี นำเสนอเป็นความรู้กฎหมายสู่ประชาชนเร็วๆ นี้ ค่ะ
8. พี่ตุ๊กตามีฎีกาที่อยากให้อ่านเพื่อระวังว่า อย่าปล่อยที่ดินของเราให้เขาขายทอดตลาด คือ ฎีกาที่ 8367/2550
9. ถ้าท่านมีปัญหาเกี่ยวกับที่ดินจนเครียดจนทุกข์ใจ อยากหาทางออก อยากหาคนปรึกษา พี่ตุ๊กตาและทีมทนาย Thai Law Consult อาจจะช่วยได้บ้างนะคะ โทรมานะคะ 098-915-0963 ถ้าพอจะส่งอีเมล์ได้ ส่งมาก่อนนะคะ จะรีบตอบให้ค่ะ numaphon@gmail.com
A) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8698/2549 (ร้องขัดทรัพย์)
ป.พ.พ. มาตรา 1300
ป.วิ.พ. มาตรา 287, 288
ผู้ร้องทำสัญญาจะซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 2 ได้ชำระราคาครบถ้วนและเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแล้ว คงเหลือแต่การจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้แก่ผู้ร้องเท่านั้น ถือได้ว่า ผู้ร้องเป็นบุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1300 และโดยเหตุที่การบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงบุริมสิทธิหรือสิทธิอื่น ๆ ซึ่งบุคคลภายนอกอาจร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 287 โจทก์จึงไม่มีสิทธินำยึดที่ดินพิพาทเพื่อบังคับคดีอันเป็นการกระทบกระทั่งถึงสิทธิของผู้ร้องตามบทกฎหมายดังกล่าว ผู้ร้องจึงมีสิทธิร้องขอให้ปล่อยที่ดินพิพาทที่โจทก์นำยึดได้
________________________________
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ร้องทำสัญญาจะซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 2 และได้ชำระราคาครบถ้วนรวมทั้งมีการเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทที่ซื้อแล้ว คงเหลือแต่การจดทะเบียนสิทธิเพื่อโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้แก่ผู้ร้องเท่านั้น กรณีเช่นนี้ถือได้ว่าผู้ร้องเป็นบุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1300 และโดยเหตุที่การบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงบุริมสิทธิหรือสิทธิอื่นๆ ซึ่งบุคคลภายนอกอาจร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นได้ตามกฎหมาย ดังนั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธินำยึดที่ดินพิพาทเพื่อบังคับคดีอันเป็นการกระทบกระทั่งถึงสิทธิของผู้ร้องตามบทกฎหมายดังกล่าว ผู้ร้องจึงมีสิทธิร้องขอให้ปล่อยที่ดินพิพาทที่โจทก์นำยึดได้
________________________________
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 2,366,906.55 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.25 ต่อปี จากต้นเงิน 2,000,000 บาท นับแต่วันที่ 22 กรกฎาคม 2536 จนกว่าจะชำระเสร็จ และให้ชำระค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนที่ศาลไม่สั่งคืนกับค่าทนายความอีก 5,000 บาท แก่โจทก์ โดยให้ผ่อนชำระ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์สินที่จำนองขายทอดตลาด หากได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้บังคับคดีแก่ทรัพย์สินที่จำนองแล้ว แต่ได้เงินไม่พอชำระหนี้ ต่อมาวันที่ 30 มกราคม 2545 โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 27632 ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ของจำเลยที่ 2 เพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ที่เหลือ
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอ ขอให้มีคำสั่งปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์ให้การ ขอให้ยกคำร้องขอ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้องขอ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยพยานหลักฐานของผู้ร้องและโจทก์แล้วฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้ร้องทำสัญญาจะซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 2 และชำระราคา 2 งวด รวม 5,000,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 2 ครบถ้วนแล้วเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2543 ทั้งได้มีการเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทที่ซื้อแล้ว แต่ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้องขอของผู้ร้องโดยวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า เมื่อยังมิได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท การซื้อขายย่อมไม่สมบูรณ์ ผู้ร้องในฐานะผู้ซื้อไม่มีอำนาจร้องขอให้ปล่อยที่ดินพิพาทได้ ต่อมาเมื่อผู้ร้องอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว โจทก์คงยื่นคำแก้อุทธรณ์แก้ข้ออ้างตามอุทธรณ์ของผู้ร้องเท่านั้น โดยมิได้ยกเหตุโต้เถียงข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นรับฟังมา ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่โจทก์ยกเหตุขึ้นอ้างมาในคำแก้ฎีกาว่าผู้ร้องกับพวกร่วมกันทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทโดยไม่มีการชำระราคากันจริงเพื่อหลีกเลี่ยงการบังคับคดีอีกนั้น ศาลฎีกาจึงไม่อาจรับวินิจฉัยให้ได้เพราะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ยุติไปแล้วทั้งเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 2 คงมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องมีสิทธิร้องขอให้ปล่อยที่ดินพิพาทที่โจทก์นำยึดหรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ร้องทำสัญญาจะซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 2 และได้ชำระราคาครบถ้วนรวมทั้งมีการเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทที่ซื้อแล้ว คงเหลือแต่การจดทะเบียนสิทธิเพื่อโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้แก่ผู้ร้องเท่านั้น กรณีเช่นนี้ถือได้ว่าผู้ร้องเป็นบุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 และโดยเหตุที่การบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงบุริมสิทธิหรือสิทธิอื่น ๆ ซึ่งบุคคลภายนอกอาจร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นได้ตามกฎหมาย ดังนั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธินำยึดที่ดินพิพาทเพื่อบังคับคดีอันเป็นการกระทบกระทั่งถึงสิทธิของผู้ร้องตามบทกฎหมายดังกล่าวผู้ร้องจึงมีสิทธิร้องขอให้ปล่อยที่ดินพิพาทที่โจทก์นำยึดได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ปล่อยที่ดินโฉนดเลขที่ 27632 ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ที่โจทก์นำยึด ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ.
( ชัชลิต ละเอียด - บุญรอด ตันประเสริฐ - เฉลิมเกียรติ ชาญศิลป์ )
ศาลจังหวัดชลบุรี - นายอวิรุทธ์ ชาญชัยกิตติกร
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 - นายสมชาย พันธุมะโอภาส
B) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5738-5739/2545 (ฟ้องเพิกถอน น.ส.3)
ป.พ.พ. มาตรา 150, 237
ป.วิ.พ. มาตรา 142, 183, 249, ตาราง 1 (1) (ก) ท้าย ป.วิ.พ
โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1 กับพวก โอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ จำเลยทั้งห้าทราบเรื่องดีแล้ว แต่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ยังรับโอนที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 แสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งห้ามีเจตนาโอนและรับโอนที่ดินพิพาทเพื่อขัดขวางมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดตามที่โจทก์ได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยที่ 1ชำระหนี้ไว้แล้ว นิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทดังกล่าว จึงเป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 โจทก์ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนได้โดยไม่จำต้องใช้สิทธิในเรื่องการเพิกถอนการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237
โจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันแก้ไขทางทะเบียนที่ดินพิพาทกลับมาเป็นชื่อของจำเลยที่ 1 เพื่อจดทะเบียนโอนให้แก่โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา แต่เมื่อศาลพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทแล้ว จำเลยที่ 1 ย่อมกลับมีชื่อเป็นเจ้าของใน น.ส.3 ก. สำหรับที่ดินพิพาทโดยอัตโนมัติ ไม่จำต้องบังคับจำเลยทั้งห้าให้ร่วมกันแก้ไขทางทะเบียนเปลี่ยนกลับมาเป็นชื่อของจำเลยที่ 1 ตามคำขอของโจทก์ดังกล่าวอีก
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 แปลงหนึ่ง และระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 อีกแปลงหนึ่งโดยมิได้เรียกร้องเอาที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นของโจทก์ เพียงแต่ขอให้ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงกลับมาเป็นของจำเลยที่ 1 ตามเดิมเท่านั้น จึงเป็นคดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลในแต่ละชั้นศาลสำนวนละ 200 บาท
________________________________
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องและแก้ไขคำฟ้องเป็นใจความว่า โจทก์ผ่อนชำระหนี้1,100,000 บาท แก่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ 1 ครบถ้วนแล้ว แต่จำเลยที่ 1 ไม่ยอมจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) พร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่โจทก์ตามที่ตกลงจะซื้อขายกัน กลับจดทะเบียนโอนขายที่ดินบางแปลงแก่บุคคลภายนอกวันที่ 7 สิงหาคม 2532 โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 กับพวกโอนที่ดินส่วนที่เหลือแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้บังคับคดีตามคำฟ้องของโจทก์ ศาลฎีกาพิพากษายืน ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นนั้นเอง จำเลยที่ 1 โอนขายที่ดิน1 แปลงแก่จำเลยที่ 2 พร้อมกับโอนขายที่ดินอีก 1 แปลงแก่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ทั้งที่จำเลยทั้งห้ารู้อยู่แล้วว่าโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 ได้ใช้สิทธิทางศาลเพื่อเรียกร้องเอาที่ดินทั้งสองแปลงแล้ว นิติกรรมระหว่างจำเลยทั้งห้าดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนหรือทำลายนิติกรรมการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินทั้งสองแปลงนั้น ให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันแก้ไขทางทะเบียนเปลี่ยนกลับมาเป็นชื่อจำเลยที่ 1 เพื่อจดทะเบียนโอนที่ดินแก่โจทก์ทันที โดยให้จำเลยทั้งห้าเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายร่วมกัน หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยทั้งห้าให้การและแก้ไขคำให้การเป็นใจความว่า โจทก์ชำระหนี้แก่ธนาคารแทนจำเลยที่ 1 โดยรับโอนที่ดินไปแล้ว 1 แปลง นอกจากนั้นยังยึดที่ดินไว้เป็นประกันอีกแปลงหนึ่ง จำเลยที่ 1 จึงไม่มีภาระที่จะต้องชำระหนี้จำนวนนั้นแก่โจทก์อีก จำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิโอนขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงแก่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ตามลำดับ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ต่างก็ซื้อที่ดินพิพาทไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนมิได้ร่วมกันฉ้อฉลโจทก์ จึงไม่เป็นโมฆะ โจทก์ได้รู้ถึงเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงแล้ว แต่ฟ้องร้องเมื่อพ้นปีหนึ่งนับแต่เวลาดังกล่าว จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "...ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ว่าเดิมจำเลยที่ 1 กับพวกตกลงขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงกับที่ดินอื่นอีก 3 แปลงแก่โจทก์โดยที่ดิน 5 แปลงนี้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) นำยึดเพื่อขายทอดตลาดบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 495/2529 ของศาลชั้นต้น และโจทก์จะชำระหนี้แก่ธนาคารแทนจำเลยที่ 1 กับพวกเป็นการชำระราคา ต่อมาเมื่อโจทก์ชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 กับพวกครบถ้วนและธนาคารจดทะเบียนถอนจำนองแล้ว จำเลยที่ 1 กับพวกไม่ยอมโอนที่ดิน 5 แปลงแก่โจทก์ตามสัญญา วันที่ 7 สิงหาคม 2532 โจทก์ฟ้องคดีเพื่อขอบังคับให้จำเลยที่ 1 กับพวกจดทะเบียนโอนที่ดิน 5 แปลงนี้ให้แก่โจทก์ รุ่งขึ้นวันที่ 8 เดือนเดียวกัน โจทก์ยื่นคำขอแจ้งเรื่องระหว่างดำเนินการทางศาลดังกล่าวต่อนายอำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี เพื่อให้เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอชัยบาดาลแจ้งแก่บุคคลภายนอกที่ประสงค์จะทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินพิพาททั้งสองแปลงทราบว่าโจทก์ได้ฟ้องขอบังคับให้จำเลยที่ 1 กับพวกโอนสิทธิในที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ ต่อมาวันที่ 17 ตุลาคม 2532 ขณะที่คดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 โอนขายที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 868 แก่จำเลยที่ 2 และโอนขายที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 867 แก่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 โดยเจ้าพนักงานที่ดินแจ้งข้อความที่โจทก์ฟ้องคดีให้จำเลยทั้งห้าทราบแล้ว แต่จำเลยทั้งห้าต่างให้ถ้อยคำแก่เจ้าพนักงานที่ดินยืนยันให้จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลง สำหรับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 225/2535 ของศาลชั้นต้น ในที่สุดศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยที่ 1 กับพวกจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้แก่โจทก์
พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ฎีกาข้อแรกว่า นิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 เป็นโมฆะเพราะมีวัตถุประสงค์เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนนั้น เห็นว่า เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องทั้งสองสำนวนโดยตั้งประเด็นใหม่ว่านิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงดังกล่าวเป็นโมฆะซึ่งศาลชั้นต้นอนุญาตตามคำร้องของโจทก์นั้นแล้ว และจำเลยทั้งห้าก็ได้ขอแก้ไขคำให้การทั้งสองสำนวนแล้วว่านิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงดังกล่าวไม่เป็นโมฆะ แต่ศาลชั้นต้นยังคงชี้สองสถานโดยตั้งประเด็นในเรื่องนี้ว่าจำเลยที่ 1 มีสิทธิโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้แก่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 โดยจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 กระทำการโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนหรือไม่ อันเป็นคนละเรื่องกับคำฟ้องและคำให้การที่โจทก์และจำเลยทั้งห้าแก้ไขซึ่งเป็นการผิดพลาดไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 183 ศาลสูงไม่จำต้องถือตามและมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาคดีไปตามประเด็นที่ถูกต้องได้เมื่อโจทก์อุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค 2 รับวินิจฉัยให้โจทก์จึงมีสิทธิยกขึ้นฎีกาต่อมา สำหรับปัญหาตามฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า แม้โจทก์จะมิได้ขออายัดที่ดินพิพาททั้งสองแปลงต่อเจ้าพนักงานที่ดินก็ตามแต่โจทก์ก็ได้แจ้งเรื่องที่โจทก์ฟ้องขอบังคับให้จำเลยที่ 1 กับพวกโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงแก่โจทก์ตามคำฟ้องในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 225/2535 ของศาลชั้นต้น ต่อนายอำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี เพื่อให้เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอชัยบาดาลแจ้งแก่บุคคลภายนอกที่ประสงค์จะทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินพิพาททั้งสองแปลงทราบเรื่องดังกล่าวแล้วด้วย และหลังจากนั้นเมื่อจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 รับโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงดังกล่าวจากจำเลยที่ 1 ทั้งจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ต่างก็ได้ทราบจากเจ้าพนักงานที่ดินแล้วว่าโจทก์ฟ้องขอบังคับให้จำเลยที่ 1 กับพวกโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงนี้ให้แก่โจทก์แต่จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ยังคงยืนยันให้เจ้าพนักงานที่ดินรับจดทะเบียนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้ตามคำขอ การกระทำของจำเลยทั้งห้าเช่นนี้เห็นได้ว่าจำเลยทั้งห้ามีเจตนาโอนและรับโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเพื่อขัดขวางมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดตามที่โจทก์ได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ไว้แล้ว นิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงนี้จึงเป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 และโจทก์ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนได้โดยไม่จำต้องใช้สิทธิในเรื่องการเพิกถอนการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น และไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาในเรื่องอายุความตามข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งห้าต่อไป เนื่องจากจำเลยทั้งห้าให้การต่อสู้เฉพาะเรื่องอายุการเพิกถอนการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 240 เท่านั้น จึงไม่มีประเด็นเรื่องอายุความในกรณีอื่นอีก แต่ที่โจทก์ขอบังคับให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันแก้ไขทางทะเบียนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงกลับมาเป็นชื่อจำเลยที่ 1 เพื่อจดทะเบียนโอนให้แก่โจทก์โดยให้จำเลยทั้งห้าเสียค่าใช้จ่ายร่วมกัน หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนานั้น เห็นว่า เมื่อศาลพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงนี้แล้ว จำเลยที่ 1 ย่อมกลับมีชื่อเป็นเจ้าของในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) สำหรับที่ดินพิพาททั้งสองแปลงโดยอัตโนมัติ ไม่จำต้องบังคับจำเลยทั้งห้าตามคำขอของโจทก์ดังกล่าวอีก อนึ่ง คดีทั้งสองสำนวนนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 แปลงหนึ่ง และระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 อีกแปลงหนึ่งโดยมิได้เรียกร้องเอาที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นของโจทก์เพียงแต่ขอให้ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงกลับมาเป็นของจำเลยที่ 1 ตามเดิมเท่านั้น จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลในแต่ละชั้นศาลสำนวนละ200 บาท เมื่อโจทก์เสียค่าขึ้นศาลทั้งสองสำนวนมาอย่างคดีมีทุนทรัพย์อันเป็นการไม่ถูกต้อง จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินมาแก่โจทก์"
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการจดทะเบียนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 868 ตำบลบัวชุม อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และให้เพิกถอนการจดทะเบียนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 867 ตำบลบัวชุม อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 คืนค่าขึ้นศาลที่โจทก์เสียมาอย่างคดีมีทุนทรัพย์ทั้งสองสำนวนคงเรียกไว้อย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์ทั้งสามศาลให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ในสำนวนแรกและให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 5 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ในสำนวนหลัง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
( วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ - วีระศักดิ์ รุ่งรัตน์ - วิบูลย์ มีอาสา )
C) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8367/2550 (อย่าปล่อยให้เขาขายทอดตลาด)
ป.วิ.พ. มาตรา 288
ป.พ.พ. มาตรา 288 วรรคหนึ่ง กำหนดให้ยื่นคำร้องขอปล่อยทรัพย์ที่ยึดต่อศาลก่อนเอาทรัพย์ออกขายทอดตลาด เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ทำการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดไปก่อนแล้ว ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์
________________________________
คดีสืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2535 เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 18992 พร้อมสิ่งปลูกสร้างมีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ต่อมาเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2546 เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้นายอินทรผู้เสนอราคาสูงสุด ในราคา 620,000 บาท ต่อมาเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2546 ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว ผู้ร้องเข้าทำประโยชน์โดยปลูกบ้านพักอาศัยตั้งแต่ประมาณปี 2523 และครอบครองตลอดมาเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว โดยไม่มีผู้ใดมาโต้แย้ง ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวไม่ใช่ของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา แต่เป็นของผู้ร้อง การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวจึงเป็นการบังคับคดีที่ฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาด
ผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ซื้อทรัพย์ซื้อทรัพย์มาโดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกคำร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องเพื่อประวิงคดี คำร้องของผู้ร้องไม่ปรากฏว่าโจทก์หรือเจ้าพนักงานบังคับคดีได้สมคบกันขายทอดตลาดโดยมีเจตนาไม่สุจริต ไม่ชอบด้วยกฎหมาย คำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดดังกล่าวยื่นเกิน 15 วัน นับแต่มีการขายทอดตลาด จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ผู้รับจำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวยื่นคำคัดค้านว่า การขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีชอบด้วยกฎหมายแล้ว ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ซึ่งโฉนดที่ดินระบุชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์จึงได้รับประโยชน์ตามข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่า บุคคลที่มีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง การครอบครองที่ดินและบ้านกว่า 20 ปี ของผู้ร้อง เป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพย์สิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม สิทธิของผู้ร้องดังกล่าวเมื่อยังไม่ได้จดทะเบียนจึงเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้ และยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ผู้รับจำนองผู้ได้จดทะเบียนสิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตไม่ได้ และผู้ร้องเป็นบุคคลภายนอก ไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในคดี ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ระหว่างไต่สวนคำร้อง ผู้ร้องรับว่าที่ดินโฉนดดังกล่าวมีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ศาลชั้นต้นเห็นว่า ข้อเท็จจริงพอวินิจฉัย จึงให้งดการไต่สวนคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คืนค่าคำขอให้ผู้ร้องจำนวน 150 บาท
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องมีสิทธิร้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ขายไปแล้วหรือไม่ ในปัญหาดังกล่าวเห็นว่า ตามคำร้องของผู้ร้องมีความประสงค์ขอให้ยกเลิกกระบวนวิธีการบังคับคดีคือการขายทอดตลาดที่ได้ขายไปแล้ว โดยอ้างว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ถูกยึดโดยการครอบครองปรปักษ์ ผู้ร้องประสงค์จะให้ศาลสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดดังกล่าวโดยอ้างประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง ซึ่งกรณีจะเป็นเรื่องของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสองนั้น ต้องเป็นกรณีที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งลักษณะการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และเกิดความเสียหายแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบุคคลอื่นที่มีส่วนได้เสียในการบังคับคดี บุคคลดังกล่าวจึงมีสิทธิยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลงขอให้งดการบังคับไว้ก่อนได้ แต่ตามคำร้องของผู้ร้องมิได้กล่าวอ้างเลยว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งลักษณะการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งแต่ประการใด เพียงแต่กล่าวอ้างว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ถูกยึดโดยการครอบครองปรปักษ์และธนาคารที่รับจำนองทรัพย์ดังกล่าวได้รับจำนองไว้โดยไม่สุจริตจึงไม่ได้รบการคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสองนั้น หากเป็นความจริงก็มิใช่เป็นการกระทำของเจ้าพนักงานบังคับคดี จึงไม่อาจยกเหตุที่ผู้ร้องอ้างมาเพิกถอนการขายทอดตลาดได้ และหากจะถือว่าคำร้องของผู้ร้องเป็นการร้องขัดทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 เนื่องจากผู้ร้องอ้างว่าทรัพย์ที่ถูกยึดมิใช่เป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษาแต่เป็นของผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์ ผู้ร้องจึงขอคืนได้โดยอ้างว่าเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนมาด้วยนั้น เห็นว่า การที่จะให้เจ้าพนักงานบังคับคดีปล่อยทรัพย์ที่ยึดคืนแก่ผู้ร้องได้นั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 วรรคหนึ่ง ก็กำหนดให้ยื่นคำร้องขอต่อศาลก่อนเอาทรัพย์ออกขายทอดตลาด เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ทำการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดไปก่อนแล้ว ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องของผู้ร้องนั้นเป็นการชอบแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
( สมศักดิ์ จันทรา - ชาลี ทัพภวิมล - ชูเกียรติ ตันทวีวงศ์ )
ข้อเท็จจริง

