ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร น.บ.ท.64 ผู้เรียบเรียง
ยกหูถึง "พี่ตุ๊กตา"

 

เรื่องที่ 35       ฟ้องเช็คแล้ว ขอแก้ไขคำฟ้องตาม ป.วิ.อ. 163 - 164   -   ได้หรือไม่
คำถามจากนักศึกษา ม.แม่ฟ้าหลวง เชียงราย


                    ตั้งแต่วันที่ 5 สิงหาคม 2556 พี่ตุ๊กตา ได้รับอีเมล์คำถามนี้จากลูกสาวของดีลเลอร์รถรายใหญ่ชาวเชียงรายว่า "ฟ้องเช็คแล้ว ขอแก้ไขคำฟ้องได้หรือไม่" พอดีวันนี้ 15 สิงหาคม 2556 ทีมทนายของ Thai Law Consult ได้มารวมตัวกันที่ สำนักงานทนายความ เพื่อต้อนรับและปรึกษาคดี ร้องขัดทรัพย์, เพิกถอน น.ส. 3 ก พอดี ได้ข้อเท็จจริงใกล้เคียงกันเกี่ยวกับคดีเช็คของศาลจังหวัดมีนบุรี เห็นว่าเรื่องนี้มีความสำคัญ จึงช่วยกันเรียบเรียงเป็นความรู้กฎหมายสู่ประชาชน แต่พี่ตุ๊กตาขอนำมาออกอากาศแค่สั้นๆ ก่อนนะคะ

หลักกฎหมาย ป.วิ.อาญา

มาตรา 163  เมื่อมีเหตุอันควร โจทก์มีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาล ขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องก่อนมีคำพิพากษาศาลชั้นต้น ถ้าศาลเห็น สมควรจะอนุญาตหรือจะสั่งให้ไต่สวนมูลฟ้องเสียก่อนก็ได้ เมื่ออนุญาตแล้วให้ส่งสำเนาแก้ฟ้องหรือฟ้องเพิ่มเติมแก่จำเลยเพื่อแก้และ ศาลจะสั่งแยกสำนวนพิจารณาฟ้องเพิ่มเติมนั้นก็ได้

                    เมื่อมีเหตุอันควร จำเลยอาจยื่นคำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมคำให้การของเขาก่อนศาลพิพากษา ถ้าศาลเห็นสมควรอนุญาต ก็ให้ส่งสำเนา แก่โจทก์

มาตรา 164  คำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องนั้น ถ้าจะทำให้จำเลย เสียเปรียบในการต่อสู้คดี ห้ามมิให้ศาลอนุญาต แต่การแก้ฐานความผิด หรือรายละเอียดซึ่งต้องแถลงในฟ้องก็ดี การเพิ่มเติมฐานความผิดหรือรายละเอียดซึ่งมิได้กล่าวไว้ก็ดี ไม่ว่าจะทำเช่นนี้ในระยะใดระหว่าง พิจารณาในศาลชั้นต้นมิให้ถือว่าทำให้จำเลยเสียเปรียบ เว้นแต่จำเลยได้หลงต่อสู้ในข้อที่ผิดหรือที่มิได้กล่าวไว้นั้น

 

Thai Law Consult โดยพี่ตุ๊กตา ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร น.บ.ท.64 เปิดหนังสือ วิ.อาญา พิสดาร ฉบับปรับปรุงใหม่ ปี 2556 แล้ว ขออธิบายดังนี้

1.  ต้องมีเหตุอันควร ในประการแรก โจทก์จะขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องได้ ต้องมีเหตุอันควร ตามแนวคำพิพากษาฎีกาที่วินิจฉัยว่า มีเหตุอันควร เช่น อ้างว่า พิมพ์ฟ้องตกไป เพราะความบกพร่องของผู้พิมพ์หรือผู้ตรวจฟ้อง (ฎีกาที่ 755/2494 และ 1733/2513)

การขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้อง ตาม ป.วิ.อ. 164 ได้นั้น ฟ้องของโจทก์จะต้องเป็นฟ้องที่ถูกต้องมาตั้งแต่ต้น ดังนั้น ฟ้องที่ขาดองค์ประกอบความผิดจะขอแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้ครบองค์ประกอบความผิดไม่ได้ (ฎีกาที่ 2006/2541)

2.  การแก้ไขหรือเพิ่มเติมฟ้องนั้น ถ้าจะทำให้จำเลยเสียเปรียบในการต่อสู้คดี ห้ามไม่ให้ศาลอนุญาต

3.  ข้อเท็จจริงในคดีนี้ คุณพ่อได้รับเช็คจำนวน 15 ฉบับ เป็นค่าที่ดิน จากพ่อเลี้ยงคนหนึ่งของอำเภอแม่สรวย ฉบับละ 4 แสนบาท คุณพ่อโอนที่ดินให้พ่อเลี้ยงแล้ว และพ่อเลี้ยงนำไปขายต่อให้นักธุรกิจชื่อดังด้านอสังหาริมทรัพย์และเครื่องประดับทองคำจากกรุงเทพฯ แต่เช็คของพ่อเลี้ยง 8 ฉบับแรก ถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน คุณพ่อกับพ่อเลี้ยงจึงทำหนังสือรับสารภาพหนี้ และออกเช็คใหม่อีก 10 ฉบับ ๆ ละ 6 แสนบาท ตอนนี้เช็คทั้ง 10 ฉบับเด้งอีก คุณพ่อจึงให้ทนายความท่านหนึ่งฟ้องพ่อเลี้ยงเป็นคดีอาญาเกี่ยวกับเช็ค โดยแยกฟ้องเป็น 3 คดี คดีแรก ฟ้องเช็ค 3 ใบ คดีที่สอง ฟ้องเช็ค 3 ใบ คดีที่สาม ฟ้องเช็คที่เหลือ 4 ใบ คุณพ่อตั้งใจแค่ติดตามเอาเงินคืน ไม่มีเจตนาให้พ่อเลี้ยงติดคุก แต่พ่อเลี้ยงเหนียวหนี้มาตลอด จนคุณพ่อโมโหและเชื่อว่า ถ้าไม่ฟ้องคดีเช็ค จะขาดอายุความ

3.1  หนูได้อ่านคำให้การของทนายความพ่อเลี้ยง (จำเลย) ในคดีแรก ที่ทนายคุณพ่อฟ้องเช็ค 3 ใบ ให้การว่า "2.3 ตามพระราชบัญญัติว่าความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค มาตรา 4 การออกเช็คที่จะเป็นความผิดนั้น จะต้องเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายด้วยข้อเท็จจริงที่ว่า การออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย จึงเป็นองค์ประกอบการกระทำความผิด หาได้เป็นเพียงรายละเอียดที่สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาไม่ การที่โจทก์บรรยายฟ้องในหน้า 2 บรรทัดที่ 3 แต่เพียงว่า เช็คพิพาทดังกล่าวมีจำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายและส่งมอบให้แก่โจทก์ เพื่อชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ และแนบสำเนาหนังสือรับสภาพหนี้มาท้ายฟ้อง ตามเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 1 จึงเป็นการบรรยายฟ้องที่ขาดองค์ประกอบความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าว เพราะการรับสภาพหนี้ มิได้ก่อให้เกิดมูลหนี้ขึ้นใหม่ เพียงแต่เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14 (1) เท่านั้น คำฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158(5)"

 

3.2  หนูได้อ่านบทความของ ThaiLawConsult โทร. 098-915-0963 หัวข้อ ทนายจำเลยต่อสู้คดีตามแนวฎีกากันอย่างไร เรื่องที่ 1 เช็คเด้ง ฟ้องเช็ค พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค แล้ว หนูและคุณพ่อกังวลว่า การให้การของทนายจำเลย (พ่อเลี้ยง) จะทำให้คดีของคุณพ่อหนูถูกศาลยกฟ้อง

3.3  หนูและคุณพ่อ อยากถามพี่ตุ๊กตาและทีมทนาย ThaiLawConsult ว่า จะแก้ไขคำฟ้องได้หรือไม่อย่างไร และถ้าแก้ไขไม่ได้ ผลคดีจะเป็นอย่างไร

4.  พี่ตุ๊กตา ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร น.บ.ท.64 ได้ตอบคำถามนี้ทางโทรศัพท์กับหนูและคุณพ่อดีลเลอร์รถไปแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่ได้รับอีเมล์

ทนายน้อย ปราธูป ศรีกลับ และ ทนายศักดิ์ชาย ทุ่งโชคชัย (พี่ชายน้อย) น.บ.ท. 59 ขอตอบคำถามนี้เอง ตามหนังสือ วิ.อาญา พิสดาร ของอาจารย์วิเชียร ดิเรกอุดมศักดิ์ ว่า "การร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 164 นั้น ฟ้องของโจทก์จะต้องเป็นฟ้องที่ถูกต้องมาตั้งแต่ต้น ดังนี้ ฟ้องที่ขาดองค์ประกอบความผิด จะขอแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้ครบองค์ประกอบความผิดไม่ได้" ตามฎีกาที่ 2006/2541 และ 307/2549

5.  พี่ตุ๊กตาและทีมทนาย Thai Law Consult เต็มใจและยินดีให้คำปรึกษาพี่น้องประชาชนที่เดือดร้อนเกี่ยวกับการฟ้องและถูกฟ้องเช็ค ถ้าท่านมีปัญหาเดือดร้อน อย่าทุกข์อยู่คนเดียว ติดต่อพี่ตุ๊กตามานะคะ โทร. 098-915-0963

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2006/2541

ป.วิ.อ. มาตรา 158(5), 164
พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 

          พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 มาตรา 4 ที่บัญญัติว่า ผู้ใดออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายโดยมีลักษณะหรือมีการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ (1) เจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น ฯลฯ เมื่อได้มีการยื่นเช็คเพื่อให้ใช้เงินโดยชอบด้วยกฎหมาย ถ้าธนาคารปฏิเสธไม่ใช้เงินตามเช็คนั้นผู้ออกเช็คมีความผิด นั้นการออกเช็คที่จะเป็นความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าวจะต้องเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายและหนี้ตามเช็คที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายหรือไม่เป็นข้อเท็จจริงประการหนึ่งซึ่งเป็นองค์ประกอบของความผิดด้วย เมื่อคำฟ้องโจทก์บรรยายแต่เพียงว่าจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้เงินกู้ โดยมิได้ระบุว่าเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย ทั้งโจทก์มิได้แนบสำเนาสัญญากู้ยืมมาท้ายฟ้อง คำฟ้องของโจทก์จึงขาดข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 เป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5) โจทก์จะมาขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องในภายหลังเพื่อให้ฟ้องโจทก์สมบูรณ์ขึ้นอันเป็นการกระทำให้เสียเปรียบจึงไม่อาจกระทำได้ ศาลจึงอนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมฟ้องไม่ได้

________________________________ 

          โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยได้ออกเช็คธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ จำกัด ลงวันที่ 5 กันยายน 2536 จำนวนเงิน300,000 บาท เพื่อชำระหนี้เงินกู้ซึ่งเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายให้แก่โจทก์ ต่อมาเมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์ได้เรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2536 โดยให้เหตุผลว่า โปรดติดต่อผู้จ่ายการกระทำของจำเลยเป็นการออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4

          ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง

          จำเลยให้การปฏิเสธ

          ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4จำคุก 6 เดือน

          จำเลยอุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

          โจทก์ฎีกา

          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 บัญญัติว่า "ผู้ใดออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย โดยมีลักษณะหรือมีการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ (1) เจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น ฯลฯ เมื่อได้มีการยื่นเช็คเพื่อให้ใช้เงินโดยชอบด้วยกฎหมาย ถ้าธนาคารปฏิเสธไม่ใช้เงินตามเช็คนั้นผู้ออกเช็คมีความผิด" ตามบทบัญญัติดังกล่าวการออกเช็คที่จะเป็นความผิดนั้นจะต้องเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายด้วย หนี้ตามเช็คที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงประการหนึ่งซึ่งเป็นองค์ประกอบของความผิด ปรากฏตามคำฟ้องดังกล่าวโจทก์บรรยายแต่เพียงว่าจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้เงินกู้โดยมิได้ระบุว่าเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย ทั้งโจทก์มิได้แนบสำเนาสัญญากู้ยืมมาท้ายฟ้อง คำฟ้องของโจทก์จึงขาดข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 จึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)ดังนั้น การที่โจทก์มาขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องในภายหลังจึงไม่อาจกระทำได้เพราะการแก้ไขหรือเพิ่มเติมฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 164 นั้น จะต้องเป็นเรื่องขอแก้ไขหรือเพิ่มเติมฟ้องที่สมบูรณ์อยู่แล้ว หากมีข้อที่โจทก์จะขอแก้หรือเพิ่มเติมอีกไม่ใช่เป็นเรื่องที่ฟ้องเดิมไม่สมบูรณ์แต่โจทก์มาขอแก้เพื่อให้ฟ้องโจทก์สมบูรณ์ขึ้นอันเป็นการกระทำให้จำเลยเสียเปรียบ ศาลจึงอนุญาตไม่ได้

          พิพากษายืน

( ณรงค์ศักดิ์ วิจิตรสาระวงศ์ - สันติ ทักราล - เรืองฤทธิ์ ศรีวรรธนะ )

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 307/2549

ป.พ.พ. มาตรา 193/14(1)
ป.วิ.อ. มาตรา 158(5), 195 วรรคสอง, 225
พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4

          ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ มาตรา 4 การออกเช็คที่จะเป็นความผิดนั้นจะต้องเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายด้วย ข้อเท็จจริงที่ว่าการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย จึงเป็นองค์ประกอบการกระทำความผิดหาได้เป็นเพียงรายละเอียดที่สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาไม่ การที่โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่าจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้ตามสัญญารับสภาพหนี้และแนบสำเนาสัญญารับสภาพหนี้มาท้ายฟ้อง จึงเป็นการบรรยายฟ้องที่ขาดองค์ประกอบความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าว เพราะการรับสภาพหนี้มิได้ก่อให้เกิดมูลหนี้ขึ้นใหม่ เพียงแต่เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14 (1) เท่านั้น คำฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

________________________________

          โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยออกเช็คธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาถนนรัตนาธิเบศร์ ลงวันที่ 17 กันยายน 2542 สั่งจ่ายเงิน 1,500,000 บาท มอบให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ตามสัญญารับสภาพหนี้ เมื่อเช็คถึงกำหนด โจทก์นำไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินว่าบัญชีปิดแล้ว การกระทำของจำเลยเป็นการออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค หรือออกเช็คในขณะที่ไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4
          ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
          จำเลยให้การปฏิเสธ
          ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
          โจทก์อุทธรณ์
          ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
          โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2543 มาตรา 4 บัญญัติว่า “ผู้ใดออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย โดยมีลักษณะหรือมีการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ (1) เจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น (2) ในขณะที่ออกเช็คนั้นไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ (3) ให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ในขณะที่ออกเช็คนั้น (4) ฯลฯ เมื่อมีการยื่นเช็คเพื่อให้ใช้เงินโดยชอบด้วยกฎหมาย ถ้าธนาคารปฏิเสธไม่ใช้เงินตามเช็คนั้น ผู้ออกเช็คมีความผิด” ตามบทบัญญัติดังกล่าว การออกเช็คที่จะเป็นความผิดนั้นจะต้องเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายด้วย ข้อเท็จจริงที่ว่าการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย จึงเป็นองค์ประกอบการกระทำความผิดหาได้เป็นเพียงรายละเอียดที่สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาไม่ การที่โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่าจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้ตามสัญญารับสภาพหนี้และแนบสำเนาสัญญารับสภาพหนี้มาท้ายฟ้อง จึงเป็นการบรรยายฟ้องที่ขาดองค์ประกอบความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าว เพราะการรับสภาพหนี้มิได้ก่อให้เกิดมูลหนี้ขึ้นใหม่ เพียงแต่เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 (1) เท่านั้น คำฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
          พิพากษายืน

( สมคักดิ์ เนตรมัย - สุทัศน์ ศิริมหาพฤกษ์ - สุรศักดิ์ สุวรรณประกร )

 

คำพิพากษาฎีกาเหล่านี้ ThaiLawConsult โทร. 098-915-0963 นำมาจากระบบสืบค้นคำพิพากษา วันที่ 15-8-56