ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร น.บ.ท.64 ผู้เรียบเรียง
ยกหูถึง "พี่ตุ๊กตา"

 

เรื่องที่ 39       ฎีกาน่าสนใจ ร้องขอให้ริบรถยนต์ ของกลาง ตาม พ.ร.บ.มาตรการฯ


                    พี่ตุ๊กตา ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร น.บ.ท. 64 ได้รับโทรศัพท์และอีเมล์สอบถามเรื่องการร้องขอให้ริบรถยนต์ของกลางว่าเป็นอย่างไร และมีฎีกาดีๆ ให้อ่านกันบ้างหรือไม่    เมื่อ 7 ทนาย คดีอาญา ของ Thai Law Consult ได้ทราบถึงความต้องการของประชาชนจึงให้พี่ตุ๊กตารวบรวมฎีกาเกี่ยวกับการริบรถยนต์นำเสนอเป็นความรู้กฎหมายสู่ประชาชนเพิ่มเติมจาก "ถูกเรื่องคดีอาญา ปรึกษา 7 ทนาย" เรื่องที่ 4 ถูกริบทรัพย์ในคดียาเสพติด จะขอคืนได้อย่างไร 5 ฎีกานี้ มีคำตอบ

           พี่ตุ๊กตา ขอนำฎีกาที่ 12213/2547, 2683/2543, 4928/2541, 3943/2540, 9245/2539 มาให้ศึกษากันค่ะ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12213/2547

พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 29, 30, 31

          ในการดำเนินคดีตาม พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 นั้น มีอยู่ 2 กรณี คือ การร้องขอให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินตามมาตรา 29 ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามมาตรา 27 และการร้องขอให้ริบบรรดาเครื่องมือ เครื่องใช้ ยานพาหนะ เครื่องจักรกล หรือทรัพย์สินอื่นใดที่ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด หรือใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิด หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดตามมาตรา 30 ซึ่งกระบวนการการร้องขอให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินทั้งสองกรณีกฎหมายบัญญัติไว้แตกต่างกันโดยแยกต่างหากจากกัน ทั้งขั้นตอนการร้องขอให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินหรือร้องขอคืนทรัพย์สินตามมาตรา 29 และ 30 ก็มีความแตกต่างกันคือ การร้องขอให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินตามมาตรา 29 จะต้องมีการปิดประกาศไว้ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และที่สถานีตำรวจท้องที่ที่มีการยึดหรืออายัดทรัพย์สินอย่างน้อยเจ็ดวันและให้ประกาศอย่างน้อยสองวันติดต่อกันในหนังสือพิมพ์ที่มีแพร่หลายในท้องถิ่น ส่วนการร้องขอให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินตามมาตรา 30 นั้น ไม่ต้องมีการปิดประกาศในที่ใด ๆ แต่ต้องมีการประกาศในหนังสือพิมพ์รายวันที่มีจำหน่ายแพร่หลายในท้องถิ่นอย่างน้อยสองวันติดต่อกัน นอกจากนี้การขอคืนทรัพย์สินตามมาตรา 29 นั้น ผู้เป็นเจ้าของสามารถร้องขอคืนได้ก่อนคดีถึงที่สุดและแสดงให้ศาลเห็นว่า

          "(1) ตนเป็นเจ้าของที่แท้จริง และทรัพย์สินนั้นไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดหรือ

          (2) ตนเป็นผู้รับโอนหรือผู้รับประโยชน์ และได้ทรัพย์สินนั้นมาโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน หรือได้มาตามสมควรในทางศีลธรรมอันดี หรือในทางกุศลสาธารณ"

          ส่วนการร้องขอคืนทรัพย์สินตามมาตรา 30 ผู้เป็นเจ้าของจะต้องยื่นคำร้องขอเข้ามาก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง และศาลจะสั่งริบได้เมื่อปรากฏว่าเจ้าของไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าตนไม่มีโอกาสทราบหรือไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะมีการกระทำความผิด และจะมีการนำทรัพย์สินดังกล่าวไปใช้ในการกระทำความผิด คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า จำเลยทั้งสองได้ใช้รถยนต์กระบะของกลางเป็นยานพาหนะบรรทุกขนส่งและซื้อขายยาเสพติดให้โทษจึงขอให้ริบรถยนต์กระบะพร้อมกุญแจรถยนต์ จำนวน 2 ชุด ของกลางตาม พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30, 31 การร้องขอให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินในคดีนี้จึงเป็นการร้องขอตามมาตรา 30 ดังนั้น กระบวนการที่ศาลจะต้องไต่สวนและมีคำสั่ง จึงต้องดำเนินกระบวนพิจารณาตามมาตรา 30 หาใช่มาตรา 29

          พยานหลักฐานของผู้คัดค้านไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถยนต์กระบะพร้อมกุญแจรถจำนวน 2 ชุด ของกลาง ผู้คัดค้านจึงไม่มีสิทธิขอคืนของกลาง และไม่จำต้องวินิจฉัยต่อไปว่าผู้คัดค้านไม่มีโอกาสทราบหรือไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะมีการกระทำความผิด และจะมีการนำทรัพย์สินดังกล่าวไปใช้ในการกระทำความผิดอีกต่อไปหรือไม่

________________________________ 

          ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ริบรถยนต์กระบะ จำนวน 1 คัน พร้อมกุญแจรถ จำนวน 2 ชุด และโทรศัพท์เคลื่อนที่ จำนวน 1 เครื่อง ดังกล่าวให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตาม พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปราม ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30, 31

          ศาลชั้นต้นได้สั่งให้ประกาศในหนังสือพิมพ์ที่มีจำหน่ายแพร่หลายในท้องถิ่นสองวันติดต่อกัน เพื่อให้บุคคลซึ่งอาจอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินมายื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีก่อน ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งแล้ว

          ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้มีคำสั่งคืนรถยนต์กระบะพร้อมกุญแจรถของกลางแก่ผู้คัดค้าน

          ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้ริบรถยนต์กระบะยี่ห้อนิสสันหมายเลขทะเบียน ลย-5162 กรุงเทพมหานคร จำนวน 1 คัน พร้อมกุญแจรถ จำนวน 2 ชุด และโทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้ออีริคสัน หมายเลข 01-3808589 จำนวน 1 เครื่อง ให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตาม พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30, 31

          ผู้คัดค้านอุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

          ผู้คัดค้านฎีกา

          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามคำร้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสองในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ย. 862/2545 ของศาลชั้นต้นซึ่งกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและยึดรถยนต์กระบะยี่ห้อนิสสัน หมายเลขทะเบียน ลย-5162 กรุงเทพมหานคร พร้อมกุญแจรถ จำนวน 2 ชุด และโทรศัพท์เคลื่อนที่ จำนวน 1 เครื่อง ซึ่งใช้ในการกระทำความผิดดังกล่าวเป็นของกลาง

          มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านเป็นประการแรกว่า ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าผู้คัดค้านไม่ได้โต้แย้งเลยว่ารถยนต์กระบะของกลางไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ดังนั้น แม้จะฟังว่าผู้คัดค้านเป็นเจ้าของรถยนต์กระบะของกลางและมิได้รู้เห็นเป็นใจให้ผู้กระทำความผิดนำรถยนต์กระบะของกลางมากระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ศาลก็ไม่อาจคืนรถยนต์กระบะของกลางให้ผู้คัดค้านได้ตามบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปราม ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 29 (1) จึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่า ผู้คัดค้านเป็นเจ้าของรถยนต์กระบะของกลางหรือไม่ นั้นมิชอบด้วยกฎหมาย เพราะกรณีนี้เป็นการริบทรัพย์และยื่นคำขอคืนทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดหรือใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดหรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30 ผู้คัดค้านจึงไม่ต้องแสดงให้ศาลเห็นว่าทรัพย์สินนั้นไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ตามมาตรา 29 (1) ดังที่ศาลอุทธรณ์กล่าวอ้างแต่อย่างใด เห็นว่า ในการดำเนินคดีตาม พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 นั้น มีอยู่ 2 กรณี คือ การร้องขอให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินตามมาตรา 29 ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามมาตรา 27 และการร้องขอให้ริบบรรดาเครื่องมือ เครื่องใช้ ยานพาหนะ เครื่องจักรกลหรือทรัพย์สินอื่นใดที่ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด หรือใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิด หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดตามมาตรา 30 จะเห็นได้ว่า กระบวนการการร้องขอให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินตามมาตรา 29 และมาตรา 30 แตกต่างกัน โดยกฎหมายแยกไว้ต่างหากจากกัน ทั้งขั้นตอนการร้องขอให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินหรือร้องขอคืนทรัพย์สินตามมาตรา 29 และ 30 ก็มีความแตกต่างกัน คือ การร้องขอให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินตามมาตรา 29 จะต้องมีการปิดประกาศไว้ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และที่สถานีตำรวจท้องที่ที่มีการยึดหรืออายัดทรัพย์สินอย่างน้อยเจ็ดวันและให้ประกาศอย่างน้อยสองวันติดต่อกันในหนังสือพิมพ์ที่มีแพร่หลายในท้องถิ่น ส่วนการร้องขอให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินตามมาตรา 30 นั้น ไม่ต้องมีการปิดประกาศในที่ใด ๆ แต่ต้องมีการประกาศในหนังสือพิมพ์รายวันที่มีจำหน่ายแพร่หลายในท้องถิ่นอย่างน้อยสองวันติดต่อกัน นอกจากนี้การขอคืนทรัพย์สินตามมาตรา 29 นั้น ผู้เป็นเจ้าของสามารถร้องขอคืนได้ก่อนคดีถึงที่สุดและแสดงให้ศาลเห็นว่า

          "(1) ตนเป็นเจ้าของที่แท้จริง และทรัพย์สินนั้นไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดหรือ

          (2) ตนเป็นผู้รับโอนหรือผู้รับประโยชน์ และได้ทรัพย์สินนั้นมาโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน หรือได้มาตามสมควรในทางศีลธรรมอันดี หรือในทางกุศลสาธารณ" ส่วนการร้องขอคืนทรัพย์สินตามมาตรา 30 ผู้เป็นเจ้าของจะต้องยื่นคำร้องขอเข้ามาก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสัง และศาลจะสั่งริบได้เมื่อปรากฏว่าเจ้าของไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าตนไม่มีโอกาสทราบหรือไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะมีการกระทำความผิด และจะมีการนำทรัพย์สินดังกล่าวไปใช้ในการกระทำความผิด คดีนี้ ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า จำเลยทั้งสองได้ใช้รถยนต์กระบะของกลางเป็นยานพาหนะบรรทุกขนส่งและซื้อขายยาเสพติดให้โทษจึงขอให้ริบรถยนต์กระบะพร้อมกุญแจรถยนต์ จำนวน 2 ชุดของกลาง ตาม พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30, 31 การร้องขอให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินในคดีนี้จึงเป็นการร้องขอตามมาตรา 30 ดังนั้น กระบวนการที่ศาลจะต้องไต่สวนและมีคำสั่ง จึงต้องดำเนินกระบวนพิจารณาตามมาตรา 30 หาใช่มาตรา 29

          มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านประการสุดท้ายว่า จะต้องคืนรถยนต์กระบะของกลางพร้อมกุญแจรถ จำนวน 2 ชุด ของกลาง ให้แก่ผู้คัดค้านหรือไม่ เห็นว่า พยานหลักฐานของผู้คัดค้านจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถยนต์กระบะพร้อมกุญแจรถ จำนวน 2 ชุด ของกลาง ผู้คัดค้านจึงไม่มีสิทธิขอคืนของกลางดังกล่าวและไม่จำต้องวินิจฉัยต่อไปว่าผู้คัดค้านไม่มีโอกาสทราบหรือไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะมีการกระทำความผิด และจะมีการนำทรัพย์สินดังกล่าวไปใช้ในการกระทำความผิดอีกต่อไปหรือไม่ ฎีกาของผู้คัดค้านข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

          พิพากษายืน.

( เฉลิมชัย จารุไพบูลย์ - พิชิต คำแฝง - สุรภพ ปัทมะสุคนธ์ )

ศาลอาญา - นายชูชัย วิริยะสุนทรวงศ์
ศาลอุทธรณ์ - นางคำนวน เทียมสอาด

                                                                                  

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2683/2543

พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ.2519 มาตรา 3, 30, 31

 

          ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯ มาตรา 3 ให้คำนิยามไว้ว่า หมายความว่าการผลิตนำเข้า ส่งออก จำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดและให้หมายความรวมถึง การสมคบ สนับสนุน ช่วยเหลือ หรือพยายามกระทำความผิดดังกล่าวด้วย ไม่ได้รวมถึงการมียาเสพติดไว้ในครอบครอง โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตไม่ใช่คดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามพระราชบัญญัติดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีอำนาจร้องขอให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินของกลางให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตามมาตรา 30 และ 31 ได้ 

________________________________

          คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสองในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 เกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยเจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสองได้ พร้อมด้วยเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวและยึดได้รถยนต์กระบะซึ่งเป็นทรัพย์ที่จำเลยทั้งสองใช้เป็นพาหนะนำเมทแอมเฟตามีนมาไว้ในครอบครองและพาเมทแอมเฟตามีนไปเพื่อให้ได้รับผลในการกระทำความผิดเป็นของกลาง และโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ริบรถยนต์กระบะดังกล่าวให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30, 31

           ผู้ร้องยื่นคำร้องคัดค้านอ้างว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์กระบะของกลาง มิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสอง ขอให้คืนรถยนต์กระบะของกลางแก่ผู้ร้อง

          ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้ริบรถยนต์กระบะของกลางให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30, 31

          ผู้ร้องอุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของโจทก์และให้คืนรถยนต์กระบะของกลางแก่ผู้ร้อง

          โจทก์ฎีกา

          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "การร้องขอให้ริบรถยนต์กระบะของกลางโดยอ้างว่าเป็นทรัพย์ที่จำเลยทั้งสองใช้เป็นพาหนะนำเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดมาไว้ในครอบครองและยาเสพติดดังกล่าวไปเพื่อให้ได้รับผลในการกระทำความผิดให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดของพนักงานอัยการโจทก์คดีนี้นั้นเป็นการยื่นคำร้องโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30, 31 ซึ่งความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามพระราชบัญญัติดังกล่าวมาตรา 3 ของพระราชบัญญัติดังกล่าวให้คำนิยามไว้ว่า หมายความว่า การผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครอง เพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติด และให้หมายความรวมถึง การสมคบ สนับสนุน ช่วยเหลือหรือพยายามกระทำความผิดดังกล่าวด้วย เห็นได้ว่า ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 ไม่ได้รวมถึงการมียาเสพติดไว้ในครอบครอง ด้วยคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงไม่ใช่คดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 พนักงานอัยการโจทก์จึงไม่มีอำนาจร้องขอให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินของกลางดังกล่าวให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตามมาตรา 30 และ 31 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และเมื่อผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์กระบะของกลางที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ให้ยกคำร้องของโจทก์และคืนรถยนต์กระบะของกลางแก่ผู้ร้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล และคดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์อีกต่อไป"

          พิพากษายืน 

( สุวัฒน์ วรรธนะหทัย - มงคล คุปต์กาญจนากุล - ธีรศักดิ์ เตียวัฒนานนท์ )

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4928/2541

ป.อ. มาตรา 36

พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 30, 31

พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 102

 

          พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯ มาตรา 30 ได้บัญญัติให้ผู้ที่อ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่พนักงานอัยการร้องขอให้ริบเป็นทรัพย์สินของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดต้องยื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง และพิสูจน์ว่าผู้ที่ร้องเข้ามาไม่มีโอกาสทราบหรือไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะมีการกระทำความผิด และจะมีการนำทรัพย์สินของผู้ร้องไปใช้ในการกระทำความผิดดังนั้น เมื่อพนักงานอัยการโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้ริบรถยนต์ของกลางให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปราม ยาเสพติด ตามมาตรา 30,31 ต่อมาได้มีการประกาศ ในหนังสือพิมพ์รายวันเพื่อให้บุคคลซึ่งอาจอ้างว่าเป็น เจ้าของทรัพย์สินของกลางดังกล่าวซึ่งมีความประสงค์ จะคัดค้านได้ยื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีแล้ว และศาลชั้นต้น มีคำสั่งให้นัดไต่สวนพร้อมไปกับสืบพยานโจทก์และจะมีคำสั่ง ในคำพิพากษา ซึ่งในคดีดังกล่าวผู้ร้องซึ่งถูกฟ้องเป็นจำเลยที่ 2 ได้ให้การปฏิเสธและนำสืบพยานว่ารถยนต์ของกลาง เป็นของจำเลยที่ 2(ผู้ร้อง) จึงเป็นกรณีที่โจทก์ได้ดำเนินการ ขอให้ริบรถยนต์ของผู้ร้องตาม พระราชบัญญัติมาตรการ ในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30,31 และผู้ร้องได้เข้ามา ในกระบวนการที่กำหนดในมาตรา 30 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้ว การจะริบรถยนต์ของกลางของผู้ร้องจึงต้องบังคับตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30 ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษ ที่บัญญัติเรื่องการริบทรัพย์สินของกลางในคดีความผิด เกี่ยวกับยาเสพติดไว้โดยเฉพาะ กล่าวคือ ถ้าเป็น ทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดหรือใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดหรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด ก็ให้ริบเสียทั้งสิ้นไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่ ตามมาตรา 30 วรรคหนึ่ง และในกรณีที่ปรากฏเจ้าของแต่เจ้าของไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าตนไม่มีโอกาสทราบหรือไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะมีการกระทำความผิดและจะมีการนำทรัพย์สินดังกล่าวไปใช้ในการกระทำความผิดให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินดังกล่าวตามมาตรา 30 วรรคสองดังนั้น เมื่อต่อมาในคดีดังกล่าวศาลฎีกาวินิจฉัยว่ารถยนต์ของกลางของผู้ร้องเป็นยานพาหนะที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ริบรถยนต์ของกลางของผู้ร้องแล้วผู้ร้องย่อมไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลางเป็นคดีนี้อีก ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30 วรรคสาม ตอนท้าย 

________________________________ 

          คดีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดในความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษโดยจำคุกจำเลยที่ 1 ตลอดชีวิตให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 (ผู้ร้อง) ส่วนรถยนต์เก๋งของกลางทั้งสองคันให้ริบ

          ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์เก๋งหมายเลขทะเบียน 7ว-6323 กรุงเทพมหานคร ของกลางซึ่งเป็นทรัพย์สินส่วนหนึ่งที่ถูกริบ ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจในการที่จำเลยที่ 1 นำรถยนต์ของผู้ร้องไปบรรทุกยาเสพติดให้โทษ ขอให้ศาลมีคำสั่งคืนรถยนต์คันดังกล่าวแก่ผู้ร้อง

          โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านเข้ามาในคดีภายหลังการไต่สวนพยานผู้ร้องแล้ว

          ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้อง

          ผู้ร้องอุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

          ผู้ร้องฎีกา

          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องมีสิทธิที่จะขอคืนรถยนต์เก๋งยี่ห้อเบนซ์หมายเลขทะเบียน 7ว-6323 กรุงเทพมหานคร ของผู้ร้องหรือไม่ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2536จำเลยที่ 1 นำรถยนต์ของกลางของผู้ร้องไปบรรทุกเฮโรอีน ระหว่างทางถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมพร้อมด้วยเฮโรอีนต่อมาผู้ร้องถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมโดยกล่าวหาว่าร่วมกับจำเลยที่ 1มีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมยึดรถยนต์หมายเลขทะเบียน 6ฉ-3113กรุงเทพมหานคร ของจำเลยที่ 1 และรถยนต์หมายเลขทะเบียน7ว-6323 กรุงเทพมหานคร ของผู้ร้อง เป็นของกลาง ต่อมาโจทก์ได้ยื่นฟ้องผู้ร้องและจำเลยที่ 1 ในความผิดที่กล่าวหาและขอให้ริบรถยนต์ของกลางทั้งสองคัน ให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534มาตรา 30, 31 ต่อมาโจทก์แถลงว่าเจ้าพนักงานได้ประกาศในหนังสือพิมพ์รายวันเพื่อให้บุคคลซึ่งอาจอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินของกลางดังกล่าวซึ่งมีความประสงค์จะคัดค้านได้ยื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าให้นัดไต่สวนพร้อมกับสืบพยานโจทก์และมีคำสั่งในคำพิพากษาต่อไปและศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสอง และริบรถยนต์ของกลางทั้งสองคันตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30, 31จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องและไม่ริบรถยนต์ของกลางศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 (ผู้ร้อง)รถยนต์ของกลางทั้งสองคันไม่ริบ โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2(ผู้ร้อง) และริบรถยนต์ของกลางทั้งสองคัน ต่อมาศาลฎีกาพิพากษาคดีถึงที่สุดให้จำคุกจำเลยที่ 1 ตลอดชีวิต ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 (ผู้ร้อง) ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ส่วนรถยนต์ของกลางทั้งสองคันเป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้ในการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษและใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 102 และพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30, 31 ให้ริบตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว เห็นว่าพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30 บัญญัติว่า"บรรดาเครื่องมือ เครื่องใช้ ยานพาหนะ ที่ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด หรือใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิด หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดให้ริบเสียทั้งสิ้นไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่"วรรคสองบัญญัติว่า "ให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลที่พิจารณาคดีนั้นเพื่อขอให้ริบทรัพย์สิน ให้บุคคลซึ่งอาจอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินมายื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง และในวรรคสามบัญญัติว่า "ในกรณีที่ไม่มีผู้ใดอ้างตัวเป็นเจ้าของก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง หรือในกรณีที่ปรากฏเจ้าของแต่เจ้าของไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าตนไม่มีโอกาสทราบหรือไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะมีการกระทำความผิดและจะมีการนำทรัพย์สินดังกล่าวไปใช้ในการกระทำความผิดให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินดังกล่าวได้เมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันแรกของวันประกาศในหนังสือพิมพ์รายวัน และในกรณีนี้มิให้นำมาตรา 36 แห่งประมวลกฎหมายอาญามาใช้บังคับ" ดังนี้เห็นว่า พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดดังกล่าวให้ผู้ที่อ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่พนักงานอัยการร้องขอให้ริบเป็นทรัพย์สินของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจะต้องยื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง และพิสูจน์ว่าผู้ที่ร้องเข้ามาไม่มีโอกาสทราบ หรือไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะมีการกระทำความผิดและจะมีการนำทรัพย์สินของผู้ร้องไปใช้ในการกระทำความผิดเมื่อคดีดังกล่าวข้อเท็จจริงปรากฏว่า พนักงานอัยการโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้ริบรถยนต์ของกลางทั้งสองคันให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดพ.ศ. 2534 มาตรา 30, 31 และต่อมาได้มีการประกาศในหนังสือพิมพ์รายวันเพื่อให้บุคคลซึ่งอาจอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินของกลางดังกล่าวซึ่งมีความประสงค์จะคัดค้านได้ยื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีแล้ว และศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นัดไต่สวนพร้อมไปกับสืบพยานโจทก์และจะมีคำสั่งในคำพิพากษา ซึ่งในคดีดังกล่าวผู้ร้องซึ่งถูกฟ้องเป็นจำเลยที่ 2 ได้ให้การปฏิเสธขอให้ศาลพิพากษายกฟ้องและนำสืบพยานว่ารถยนต์หมายเลขทะเบียน 7ว-6323กรุงเทพมหานคร เป็นของจำเลยที่ 2 (ผู้ร้อง) จึงเป็นกรณีที่โจทก์ได้ดำเนินการขอให้ริบรถยนต์ของผู้ร้องตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดพ.ศ. 2534 มาตรา 30, 31 และผู้ร้องได้เข้ามาในกระบวนการที่กำหนดในมาตรา 30 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้วซึ่งการจะริบรถยนต์ของกลางของผู้ร้องนั้น ต้องบังคับตามมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดพ.ศ. 2534 มาตรา 30 ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษที่บัญญัติเรื่องการริบทรัพย์สินของกลางในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดไว้โดยเฉพาะกล่าวคือ ถ้าเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด หรือใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิด หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด ก็ให้ริบเสียทั้งสิ้นไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่ ตามมาตรา 30 วรรคหนึ่งและในกรณีที่ปรากฏเจ้าของ แต่เจ้าของไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าตนไม่มีโอกาสทราบ หรือไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่า จะมีการกระทำความผิด และจะมีการนำทรัพย์สินดังกล่าวไปใช้ในการกระทำความผิด ให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินดังกล่าว ตามมาตรา 30 วรรคสาม ดังนั้น เมื่อต่อมาในคดีดังกล่าว ศาลฎีกาได้ฟังข้อเท็จจริงว่า รถยนต์ของกลางของผู้ร้องเป็นยานพาหนะที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ริบรถยนต์ของกลางของผู้ร้องแล้วผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลางเป็นคดีนี้อีกตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 วรรคสาม ตอนท้าย

          พิพากษายืน  

( อรรถนิติ ดิษฐอำนาจ - สุทิน ปัทมราช - วิเชียรศิริชัย สวัสดิ์มงคล )

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3943/2540

พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 30 

          พระราชบัญญัติมาตราการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30 วรรคสอง เป็นบทบัญญัติให้โอกาสบุคคลที่อ้างว่าเป็นจ้างของทรัพย์สินยื่นคำร้องเข้ามาในคดีที่พนักงานอัยการยื่นคำร้องขอให้สั่งริบทรัพย์สิน แต่บุคคลที่อ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินจะต้องยื่นคำร้องเข้าก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีที่พนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลขอให้สั่งริบทรัพย์สิน พนักงานอัยการยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งริบรถยนต์ของกลางอันเป็นทรัพย์ที่ใช้เป็นยานพาหนะในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดหรือใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิด ผู้ร้องยื่นคำร้องคัดค้านขอให้ศาลมีคำสั่งคืนทรัพย์ของกลางดังกล่าว แม้ในระหว่างที่ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องของโจทก์ ผู้ร้องได้ขอถอนคำร้องคัดค้านขอคืนรถยนต์กระบะของกลางและศาลชั้นต้นอนุญาต ส่วนโจทก์แถลงว่า คดีนี้ยังไม่มีคำพิพากษาอาจจะมีผู้คัดค้านเข้ามาได้ใหม่อีกจึงขอให้งดการไต่สวนไว้ชั่วคราวจนกว่าศาลจะพิพากษาคดีแล้วศาลชั้นต้นอนุญาต และสั่งให้โจทก์แถลงเมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้วเพื่อยกคดีขึ้นไต่สวนต่อไป ต่อมาโจทก์แถลงว่าศาลได้มีคำพิพากษาแล้ว จึงขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขอริบทรัพย์ของโจทก์ต่อไป ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องคัดค้านเข้ามาอีก ก็ชอบที่ศาลชั้นต้นจะต้องรับคำร้องของผู้ร้องและดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ศาลชั้นต้นจะสั่งยกคำร้องด้วยเหตุว่าคำร้องคัดค้านที่ผู้ร้องยื่นไว้แล้วและขอถอนไปนั้น ย่อมลบล้างผลแห่งการยื่นคำร้องคัดค้านดังกล่าว ทำให้กลับสู่ฐานะเดิม เสมือนมิได้มีการยื่นคำร้องคัดค้านไว้เลย เมื่อผู้ร้องนำคำร้องคัดค้านมายื่นใหม่หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเกี่ยวกับการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสามแล้วย่อมล่วงพ้นเวลาตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติ มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534มาตรา 30 วรรคสอง หาได้ไม่

________________________________

          คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสามในข้อหาขายและมีอีเฟดรีนวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และเกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในคดีดังกล่าวเจ้าพนักงานยึดได้รถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียนบ - 5740 ลพบุรี ซึ่งเป็นทรัพย์ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ใช้เป็นยานพาหนะในการนำอีเฟดรีนไปขาย รถยนต์กระบะดังกล่าวจึงเป็นยานพาหนะที่ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษหรือใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดและโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ริบรถยนต์กระบะดังกล่าวให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534มาตรา 3, 30, 31

          ผู้ร้องยื่นคำร้องคัดค้าน อ้างว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์กระบะที่เจ้าพนักงานยึดไว้ มิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด ขอให้คืนของกลางแก่ผู้ร้อง

          ในระหว่างที่ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องของโจทก์ผู้ร้องได้ขอถอนคำร้องคัดค้านขอคืนรถยนต์กระบะของกลางศาลชั้นต้นอนุญาต และโจทก์แถลงว่าคดีนี้ยังไม่มีคำพิพากษาอาจจะมีผู้คัดค้านเข้ามาได้ใหม่อีก จึงขอให้งดการไต่สวนไว้ชั่วคราวจนกว่าศาลจะพิพากษาคดีแล้ว ศาลชั้นต้นอนุญาตและสั่งให้โจทก์แถลงเมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้ว เพื่อยกคดีขึ้นไต่สวนต่อไป ต่อมาโจทก์แถลงว่า ศาลได้มีคำพิพากษาแล้วจึงขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขอริบทรัพย์ของโจทก์ต่อไปผู้ร้องยื่นคำร้องคัดค้านอีก ศาลชั้นต้นเห็นว่า คำร้องคัดค้านที่ผู้ร้องยื่นไว้แล้ว ขอถอนไปนั้นย่อมลบล้างผลแห่งการยื่นคำร้องคัดค้านดังกล่าว ทำให้กลับสู่ฐานะเดิม เสมือนมิได้มีการยื่นคำร้องคัดค้านไว้เลย เมื่อผู้ร้องนำคำร้องคัดค้านมายื่นใหม่หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเกี่ยวกับการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสามแล้วย่อมล่วงพ้นเวลาตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติมาตราการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30 วรรคสอง จึงให้ยกคำร้อง

          ผู้ร้องอุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

          ผู้ร้องฎีกา

          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องคัดค้านภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่า พนักงานอัยการยื่นคำร้องลงวันที่ 2 สิงหาคม 2537 ขอให้ศาลมีคำสั่งริบรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน บ - 5740 ลพบุรี เนื่องจากเป็นทรัพย์ที่ใช้เป็นยานพาหนะในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด หรือใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิด ผู้ร้องยื่นคำร้องคัดค้านขอให้ศาลมีคำสั่งคืนทรัพย์ลงวันที่ 9กันยายน 2537 ต่อมาวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2538 ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอถอนคำร้องคัดฉบับลงวันที่ 9 กันยายน 2537ศาลมีคำสั่งอนุญาต ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1และที่ 2 เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2538 ผู้ร้องจึงมายื่นคัดค้านขอคืนรถยนต์อีก เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2538 เห็นว่าพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30 วรรคสอง บัญญัติว่า "ให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลที่พิจารณาคดีเพื่อขอให้สั่งริบทรัพย์สินตามวรรคหนึ่ง และเมื่อพนักงานอัยการได้ยื่นคำร้องแล้ว ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ประกาศในหนังสือพิมพ์รายวันที่มีจำหน่ายแพร่หลายในท้องถิ่นอย่างน้อยสองวันติดต่อกันเพื่อให้บุคคลซึ่งอาจอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินมายื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง" เป็นบทบัญญัติให้โอกาสบุคคลที่อ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินยื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีที่พนักงานอัยการยื่นคำร้องขอให้สั่งริบทรัพย์สิน แต่บุคคลที่อ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินจะต้องยื่นคำร้องเข้ามาในคดีก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งซึ่งต้องหมายความถึงคำพิพากษาหรือคำสั่งที่พนักงานอัยการยื่นคำร้องแล้ว ยังมีขั้นตอนให้พนักงานเจ้าหน้าที่ประกาศในหนังสือพิมพ์เพื่อให้บุคคลซึ่งอาจอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินมายื่นคำร้องซึ่งอาจจะเป็นระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งในเนื้อหาแห่งคดีไปแล้วเหตุผลที่เห็นได้อีกประการหนึ่งจากบทบัญญัติแห่งมาตราดังกล่าวในวรรคสามที่ว่า "ในกรณีที่ไม่มีผู้ใดอ้างตัวเป็นเจ้าของก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งหรือกรณีที่ปรากฎเจ้าของแต่เจ้าของไม่สามารถพิสูจน์ได้ ฯลฯ ให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินดังกล่าวได้เมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันแรกของวันประกาศในหนังสือพิมพ์รายวันตามวรรคสอง" แสดงให้เห็นว่า วันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งในเนื้อหาแห่งคดี กับวันที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่พนักงานอัยการมีคำร้องขอให้ริบทรัพย์สินได้ก็ต่อเมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันแรกของวันประกาศในหนังสือพิมพ์รายวันตามวรรคสองก่อนแต่วันที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งในเนื้อหาแห่งคดีก็เป็นไปตามกระบวนพิจารณาว่าจะเสร็จเร็วหรือช้า ผู้ร้องคัดค้านมายื่นคำร้องก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่พนักงานอัยการมีคำร้องขอให้ริบทรัพย์สินจึงยังไม่ล่วงพ้นกำหนดเวลา ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่รับคำร้องของผู้ร้องไว้พิจารณา ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา

          พิพากษากลับ ให้รับคำร้องของผู้ร้อง และให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป 

( ชวลิต ศรีสง่า - ไพโรจน์ คำอ่อน - วิเทพ ศิริพากย์ )

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9245/2539

พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 30 

          ศาลพิพากษาริบรถยนต์ของกลางให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลางหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว ถือได้ว่าผู้ร้องมิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่บังคับให้เจ้าของทรัพย์สินยื่นคำร้องขอเข้าในคดีก่อนศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30 วรรคสอง แม้พนักงานเจ้าหน้าที่จะมิได้ประกาศในหนังสือพิมพ์รายวันในท้องถิ่นแต่ได้ประกาศในหนังสือพิมพ์ "ข่าวสด" ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์รายวันที่ออกในส่วนกลางที่ส่งไปจำหน่ายทั่วไปในราชอาณาจักร อันเป็นการประกาศในหนังสือพิมพ์รายวันที่มีจำหน่ายแพร่หลายในท้องถิ่นสองวันติดต่อกันถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ถือได้ว่าผู้ร้องได้ทราบประกาศแล้ว ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้องหลังจากศาลมีคำพิพากษาแล้ว 

________________________________

          คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเฮโรอีนคำนวณเป็นเฮโรอีนบริสุทธิ์น้ำหนัก 39.5 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยฝ่าฝืนกฎหมาย จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2538 ว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคหนึ่งพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30, 31 จำคุก 12 ปี 6 เดือนริบรถยนต์หมายเลขทะเบียน ค-9062 เชียงใหม่ ของกลางโดยให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด

          วันที่ 29 สิงหาคม 2538 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่เกี่ยวกับรถยนต์ของกลางอ้างว่า รถยนต์ของกลางเป็นของผู้ร้องผู้ร้องไม่ได้เกี่ยวข้องรู้เห็นในการกระทำความผิดของจำเลยผู้ร้องไม่ทราบว่าจำเลยถูกฟ้องและไม่มีเหตุอันควรรู้ว่าพนักงานอัยการฟ้องและขอให้ริบรถยนต์ของกลาง จึงไม่อาจยื่นคำร้องเข้าดำเนินคดีก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาได้ ขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่เฉพาะเรื่องริบของกลาง

          ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง

          ผู้ร้องอุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

          ผู้ร้องฎีกา

          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2538 พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องจำเลยในข้อหามีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้รถยนต์ของกลางตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ต่อมาผู้อำนวยการกองตรวจสอบทรัพย์สินคดียาเสพติด ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 ได้ประกาศในหนังสือพิมพ์ "ข่าวสด" ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์รายวันประจำวันที่26 และ 27 เมษายน 2538 ติดต่อกันรวม 2 วัน เพื่อประกาศให้ผู้เป็นเจ้าของทรัพย์สินของกลางยื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30

          ปัญหาวินิจฉัยในชั้นฎีกามีว่า ผู้ร้องจะยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ในส่วนที่สั่งริบรถยนต์ของกลางได้หรือไม่นั้นศาลฎีกาเห็นว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาริบรถยนต์ของกลางให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เมื่อวันที่4 สิงหาคม 2538 ผู้ร้องเพิ่งมายื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลางเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2538 หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วถือได้ว่า ผู้ร้องมิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่บังคับให้เจ้าของทรัพย์สินยื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30 วรรคสอง แม้พนักงานเจ้าหน้าที่จะมิได้ประกาศในหนังสือพิมพ์รายวันในท้องถิ่นแต่ก็ปรากฏว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ประกาศในหนังสือพิมพ์"ข่าวสด" ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์รายวันที่ออกในส่วนกลาง ที่ส่งไปจำหน่ายทั่วไปในราชอาณาจักร อันเป็นการประกาศในหนังสือพิมพ์รายวันที่มีจำหน่ายแพร่หลายในท้องถิ่นสองวันติดต่อกันถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ถือได้ว่า ผู้ร้องได้ทราบประกาศของพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้องหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วศาลล่างทั้งสองไม่รับคำร้องขอของผู้ร้องไว้ไต่สวนชอบแล้ว"

          พิพากษายืน  

( ยรรยง ปานุราช - ยงยุทธ ธารีสาร - ไพฑูรย์ แสงจันทร์เทศ )

 

หากประชาชนท่านใดมีปัญหาทำนองนี้ อยากปรึกษาทนายความ พี่ตุ๊กตาและ 7 ทนาย Thai Law Consult ยินดีให้คำปรึกษานะคะ โทร. 098-915-0963 numaphon@gmail.com