ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร น.บ.ท.64 ผู้เรียบเรียง
ยกหูถึง "พี่ตุ๊กตา"

 

เรื่องที่ 40       ฎีกาน่าสนใจ ร้องขอให้ริบธนบัตร ตาม พ.ร.บ.มาตรการฯ


                    ThaiLawConsult มีเป้าหมาย เพื่อเผยแพร่ความรู้ทางกฎหมายสู่ประชาชน ทีมทนายความได้รับคำถามทางโทรศัพท์และอีเมล์อยู่เสมอว่า การร้องขอให้ริบธนบัตร ตาม พ.ร.บ.มาตรการฯ เป็นอย่างไร มีฎีกาดีๆ ให้ศึกษาบ้างหรือไม่ พี่ตุ๊กตาเห็นว่าควรนำฎีกาเกี่ยวกับเรื่องนี้ มานำเสนอเพิ่มเติมจาก "ถูกเรื่องคดีอาญา ปรึกษา 7 ทนาย" เรื่องที่ 4  ถูกริบทรัพย์ในคดียาเสพติด จะขอคืนได้อย่างไร 5 ฎีกานี้ มีคำตอบ

                    วันนี้ 15 กันยายน 2556 พี่ตุ๊กตา ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร น.บ.ท.64 จึงนำฎีกาที่ 1814/2548, 6089/2544, 1492/2540, 1717/2548, 8593/2548 มานำเสนอค่ะ

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1814/2548

ป.วิ.อ. มาตรา 39 (4)
พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 29, 31

 

          คดีนี้มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า เงินสดของกลางจำนวน 116,600 บาท เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษของผู้คัดค้านทั้งสองตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯ และให้ริบเงินสดดังกล่าวตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดหรือไม่ แต่ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1815/2544 ของศาลชั้นต้นคดีก่อน มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่าเงินสดของกลางเป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้ หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด หรือได้มาโดยได้กระทำความผิดในคดีดังกล่าวที่ต้องริบให้ตกเป็นของแผ่นดินตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ และ ป.วิ.อ. หรือไม่ เห็นได้ว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในคดีอาญาดังกล่าวและคดีตามคำร้องคดีนี้แตกต่างกัน การพิจารณาคดีนี้จึงไม่เป็นการฟ้องซ้ำหรือร้องซ้ำกับคดีอาญาดังกล่าว

          เงินสดของกลางจำนวน 116,600 บาท เป็นของผู้คัดค้านทั้งสองที่มีอยู่หรือได้มาเกินกว่าฐานะหรือความสามารถในการประกอบอาชีพหรือกิจกรรมอย่างอื่นโดยสุจริตและผู้คัดค้านทั้งสองเป็นผู้เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ทรัพย์สินดังกล่าวจึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่า เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด เมื่อผู้คัดค้านทั้งสองไม่อาจพิสูจน์หักล้างได้ จึงต้องริบเงินสดจำนวนดังกล่าวให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตามความในมาตรา 29 และมาตรา 31 แห่ง พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯ 

________________________________ 

          คดีสืบเนื่องมาจากเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมผู้คัดค้านทั้งสองพร้อมด้วยเมทแอมเฟตามีนจำนวน 550 เม็ด เงินสดจำนวน 116,600 บาท กับโทรศัพท์เคลื่อนที่จำนวน 1 เครื่อง พร้อมแบตเตอรี่จำนวน 1 ก้อน ต่อมาผู้ร้องเป็นโจทก์ฟ้องผู้คัดค้านทั้งสองเป็นจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อศาลชั้นต้น ในข้อหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1685/2542 และเนื่องจากมีเหตุอันควรสงสัยว่าทรัพย์สินของผู้คัดค้านทั้งสองเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด จึงมีการตรวจสอบทรัพย์สินของบุคคลทั้งสอง ต่อมาคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินมีคำวินิจฉัยว่าเงินสดจำนวน 116,600 บาท กับโทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้อโมโตโรล่าจำนวน 1 เครื่องพร้อมแบตเตอรี่จำนวน 1 ก้อน เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดของผู้คัดค้านทั้งสอง จึงมีคำสั่งให้ยึดทรัพย์สินดังกล่าว และให้ผู้ร้องยื่นคำร้องเป็นคดีนี้ ขอให้ศาลมีคำสั่งริบเงินสดจำนวน 116,600 บาทกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้อโมโตโรล่าจำนวน 1 เครื่อง พร้อมแบตเตอรี่จำนวน 1 ก้อนให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 27, 29, 31

          พนักงานเจ้าหน้าที่ประกาศคำร้องในหนังสือพิมพ์รายวันที่มีจำหน่ายแพร่หลายในท้องถิ่นสองวันติดต่อกัน เพื่อให้ผู้ซึ่งอาจอ้างเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่ขอให้ศาลมีคำสั่งริบมายื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีก่อนคดีถึงที่สุด อีกทั้งมีหนังสือแจ้งไปยังผู้คัดค้านทั้งสองทราบประกาศดังกล่าวโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับด้วย

          ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำคัดค้านว่า ทรัพย์สินทั้งสองรายการตามคำร้องเป็นทรัพย์สินที่ผู้คัดค้านทั้งสองได้มาโดยสุจริตและมิใช่ทรัพย์สินที่มีอยู่หรือได้มาเกินกว่าฐานะหรือความสามารถในการประกอบอาชีพหรือกิจกรรมอย่างอื่นโดยสุจริต จึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ขอให้ยกคำร้องและคืนทรัพย์สินทั้งสองรายการแก่ผู้คัดค้านทั้งสอง

          ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ริบเงินสดจำนวน 116,6000 บาท (ที่ถูก 116,000 บาท) ให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 29, 31 คำขออื่นให้ยก

          ผู้คัดค้านทั้งสองอุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน

          ผู้คัดค้านทั้งสองฎีกา

          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านทั้งสองข้อแรกมีว่า คำร้องขอให้ริบเงินสดของกลางจำนวน 116,600 บาท เป็นการฟ้องซ้ำหรือร้องซ้ำกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1815/2544 ของศาลชั้นต้น ซึ่งพิพากษาไม่ริบเงินสดของกลางดังกล่าวและคดีถึงที่สุดแล้วหรือไม่นั้น เห็นว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในคดีนี้มีว่าเงินสดของกลางดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษของผู้คัดค้านทั้งสองตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 และให้ริบเงินสดดังกล่าวตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดหรือไม่ แต่ในคดีอาญาดังกล่าวปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่าเงินสดของกลางเป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้ หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดหรือได้มาโดยได้กระทำความผิด ในคดีดังกล่าวที่ต้องริบเงินให้ตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 และประมวลกฎหมายอาญาหรือไม่ จึงเห็นได้ว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในคดีอาญาดังกล่าวและคดีตามคำร้องคดีนี้แตกต่างกัน ดังนั้น การพิจารณาคดีนี้จึงหาเป็นการฟ้องซ้ำหรือร้องซ้ำกับคดีอาญาดังกล่าวไม่ ฎีกาข้อนี้ของผู้คัดค้านทั้งสองฟังไม่ขึ้น

          ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านทั้งสองต่อไปมีว่า เงินสดของกลางจำนวน 116,600 บาท เป็นทรัพย์สินของผู้คัดค้านทั้งสองที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดหรือไม่...ฯลฯ...พยานหลักฐานของผู้ร้องมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าเงินสดจำนวน 116,600 บาท เป็นของผู้คัดค้านทั้งสองที่มีอยู่หรือได้มาเกินกว่าฐานะหรือความสามารถในการประกอบอาชีพหรือกิจกรรมอย่างอื่นโดยสุจริต และผู้คัดค้านทั้งสองเป็นผู้เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ทรัพย์สินดังกล่าวจึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่า เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด เมื่อผู้คัดค้านทั้งสองไม่อาจพิสูจน์หักล้างได้ จึงต้องริบเงินสดจำนวนดังกล่าวให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตามความในมาตรา 29 และมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้คัดค้านทั้งสองฟังไม่ขึ้น

          พิพากษายืน 

( วีระศักดิ์ รุ่งรัตน์ - คมวุฒ บุรีธนวัต - มนตรี ศรีเอี่ยมสะอาด )

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6089/2544

ป.วิ.อ. มาตรา 39
ป.วิ.พ. มาตรา 144, 148, 173
พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 29, 31

 

          คดีก่อนพนักงานอัยการโจทก์ฟ้องผู้อื่นเป็นจำเลยและขอให้ริบธนบัตรของกลาง โดยอ้างการกระทำอันจะเป็นเหตุให้ริบธนบัตรว่าเป็นทรัพย์สินซึ่งได้ใช้ในการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 102แต่คดีนี้พนักงานอัยการผู้ร้องอ้างเหตุให้ริบธนบัตรจำนวนเดียวกันนั้นว่า เป็นทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินได้ยึดไว้แล้วตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 16(3),22,27,29 และ 31เมื่อคดีนี้กับคดีก่อนจำเลยมิใช่บุคคลคนเดียวกัน ทั้งมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตลอดจนการกระทำที่อ้างเป็นเหตุให้ศาลริบธนบัตรแตกต่างกัน การพิจารณาคดีนี้จึงไม่เป็นการร้องซ้อน หรือร้องซ้ำหรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับทำให้สิทธิของผู้ร้องระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) 

________________________________ 

          คดีสืบเนื่องมาจากผู้คัดค้านถูกฟ้องในความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเป็นคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 9871/2541 ให้ลงโทษจำคุกผู้คัดค้าน25 ปี ให้นับโทษจำคุกต่อจากโทษจำคุกของผู้คัดค้านซึ่งเป็นจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5047/2541 ของศาลจังหวัดสมุทรสาครริบเมทแอมเฟตามีนและเฮโรอีนของกลาง

          ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2541 เจ้าพนักงานตำรวจ สถานีตำรวจนครบาลท่าข้าม ร่วมกันจับกุมผู้คัดค้านและนางสาวอาหลี แซ่ฟาง พร้อมด้วยเมทแอมเฟตามีน จำนวน 7,572 เม็ด น้ำหนักรวม 723.83 กรัม เฮโรอีน จำนวน 13 ถุง น้ำหนักรวม254.63 กรัม และยึดได้ธนบัตรจำนวน 645,120 บาท เป็นของกลางคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534ตรวจสอบทรัพย์สินของผู้คัดค้านแล้ว ปรากฏหลักฐานเป็นที่เชื่อได้ว่าทรัพย์สินของผู้คัดค้านคือธนบัตรจำนวน 645,120 บาท เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด อาศัยอำนาจตามมาตรา 16(3), 22 และมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินมีมติให้ยึดธนบัตรจำนวน 645,120บาท ขอให้ศาลมีคำสั่งริบธนบัตรจำนวน 645,120 บาท ให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดพ.ศ. 2534 มาตรา 29, 31

          เลขาธิการปิดประกาศและแจ้งให้ผู้ซึ่งอาจอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินมายื่นคำร้องขอเข้ามาในคดี โดยปิดประกาศที่สำนักงานที่สถานีตำรวจท้องที่ที่มีการยึดหรืออายัดทรัพย์สิน อย่างน้อยเจ็ดวันและประกาศอย่างน้อยสองวันติดต่อกันในหนังสือพิมพ์ที่มีจำหน่ายแพร่หลายในท้องถิ่น กับแจ้งให้ผู้คัดค้านทราบทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับแล้ว

          ผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านว่า ธนบัตรจำนวน 645,120 บาทผู้คัดค้านได้มาโดยสุจริตโดยประกอบการขายอาหาร ประเภทข้าวมันไก่และก๋วยเตี๋ยวที่บริเวณคอนโดคอมแพ็กวงแหวน ถนนเอกชัย แขวงบางบอน เขตบางบอน กรุงเทพมหานคร ผู้คัดค้านมีรายได้วันละ3,500 บาท หักค่าใช้จ่ายแล้วจะมีกำไรวันละ 1,200 บาท ปีหนึ่งมีรายได้เฉลี่ยมากกว่าสามแสนบาท ผู้คัดค้านทำการค้าติดต่อกันมากว่าสองปีแล้วจึงเก็บเงินสะสมไว้ในบ้าน เนื่องจากผู้คัดค้านเป็นชาวจีนภูเขา ไม่มีบัตรประจำตัวประชาชนจึงไม่มีหลักฐานไปแสดงเปิดบัญชีเงินฝากธนาคาร และธนบัตรจำนวนดังกล่าวศาลได้มีคำพิพากษาไม่ริบ แต่ได้คืนเจ้าของในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 8769/2541 ของศาลชั้นต้น ซึ่งมีนางสาวอาหลี แซ่ฟางเป็นจำเลยเมื่อผู้ร้องขอให้ริบธนบัตรจำนวนนี้อีก จึงเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)ขอให้ยกคำร้องและคืนธนบัตรจำนวน 645,120 บาท แก่ผู้คัดค้าน

          ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ริบธนบัตรจำนวน 645,120 บาท ของกลางตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตามมาตรา 29, 31 แห่งพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534

          ผู้คัดค้านอุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

          ผู้คัดค้านฎีกา

          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติว่าผู้คัดค้านถูกฟ้องฐานมีเฮโรอีนและเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกผู้คัดค้าน 25 ปี ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 9871/2541 และให้นับโทษต่อจากโทษจำคุกของผู้คัดค้านซึ่งเป็นจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5047/2541 ของศาลจังหวัดสมุทรสาครริบเฮโรอีนและเมทแอมเฟตามีนของกลาง คดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านประการแรกมีว่า การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ริบธนบัตรจำนวน 645,120 บาท เป็นการร้องซ้อนหรือร้องซ้ำหรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 8769/2541ของศาลชั้นต้นหรือไม่ ผู้คัดค้านฎีกาว่า โจทก์แยกฟ้องนางสาวอาหลีแซ่ฟาง เป็นคดีอาญาหมายเลขดังกล่าวและมีคำขอให้ริบธนบัตร จำนวน 645,120 บาท ของกลาง ซึ่งเป็นธนบัตรจำนวนเดียวกับธนบัตรที่ขอให้ริบในคดีนี้ คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นพิพากษาเสร็จเด็ดขาดแล้วไม่ริบธนบัตรของกลางที่ขอให้ริบคดีนี้โดยสั่งให้คืนแก่เจ้าของ จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 144 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 และถือว่าสิทธินำคดีมาร้องของผู้ร้องระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) นั้น เห็นว่าคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 8769/2541 ของศาลชั้นต้น โจทก์ฟ้องผู้อื่นเป็นจำเลยและขอให้ริบธนบัตรของกลางจำนวนนี้ โดยอ้างการกระทำของจำเลยดังกล่าวอันจะเป็นเหตุให้ริบธนบัตรของกลางว่าเป็นทรัพย์สินซึ่งจำเลยในคดีดังกล่าวได้ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษในคดีนั้น ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 102 แต่คดีนี้ผู้ร้องอ้างเหตุให้ริบธนบัตรจำนวนเดียวกันนี้ว่าเป็นทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินได้ยึดธนบัตรจำนวนดังกล่าวไว้แล้วตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 16(3), 22, 27, 29และ 31 จึงเห็นได้ว่าคดีนี้กับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 8769/2541ของศาลชั้นต้น จำเลยมิใช่บุคคลคนเดียวกัน ทั้งมีประเด็นปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตลอดจนการกระทำที่อ้างเป็นเหตุให้ศาลพิจารณาริบธนบัตรจำนวนนี้แตกต่างกัน ดังนั้น การพิจารณาคดีนี้จึงหาเป็นการร้องซ้อนหรือร้องซ้ำหรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 8769/2541 ของศาลชั้นต้น หรือทำให้สิทธิของผู้ร้องระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(4) ดังฎีกาของผู้คัดค้านแต่ประการใดไม่ ฎีกาข้อนี้ของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น

          ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านต่อไปมีว่า ธนบัตรจำนวน 645,120 บาท เป็นทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดหรือไม่โดยผู้คัดค้านฎีกาว่าผู้ร้องไม่มีพยานหลักฐานใดมายืนยันและหักล้างพยานหลักฐานและข้อกล่าวอ้างของผู้คัดค้านได้ ขอให้ยกคำร้องและคืนธนบัตรจำนวนดังกล่าวแก่ผู้คัดค้านนั้น เห็นว่า คดีนี้ผู้คัดค้านถูกฟ้องในความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกผู้คัดค้าน 25 ปี คดีถึงที่สุดแล้วตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 9871/2541 ของศาลชั้นต้น ดังนั้น ตามปัญหานี้จึงต้องตามบทบัญญัติมาตรา 29 วรรคท้าย แห่งพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534ซึ่งให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าธนบัตรจำนวน 645,120 บาท ที่ผู้คัดค้านมีอยู่หรือได้มาเกินกว่าฐานะหรือความสามารถในการประกอบอาชีพเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตกเป็นภาระของผู้คัดค้านที่ต้องพิสูจน์ว่าธนบัตรจำนวนดังกล่าวเป็นของผู้คัดค้านที่ได้มาโดยสุจริตและทรัพย์สินนั้นไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งผู้คัดค้านนำสืบได้ความเพียงว่า ธนบัตรจำนวน 645,120 บาท เป็นทรัพย์สินของตนที่แท้จริงแต่ที่อ้างว่าเป็นส่วนกำไรที่ผู้คัดค้านเก็บรวบรวมได้จากการขายข้าวมันไก่ ข้าวมันไก่ทอดและก๋วยเตี๋ยวเป็นระยะเวลาประมาณ 2 ปีโดยผู้คัดค้านและนางสาวอาหลี แซ่ฟาง ผู้ร่วมกระทำความผิดในคดียาเสพติดให้โทษกับผู้คัดค้านเบิกความเพียงลอย ๆ เท่านั้นหาได้พยานหลักฐานอื่นใดมาสนับสนุนไม่ ความข้อนี้นายศิกวัสบรรลุศาสตร์ พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจสอบทรัพย์สินและยึดทรัพย์สินของผู้คัดค้านพยานผู้ร้องเบิกความว่าผู้คัดค้านให้ถ้อยคำในการสอบสวนว่านำรถเข็นมาใช้ขายข้าวมันไก่ใช้ไก่วันละ 4 ตัวมีรายได้วันละ 3,500 บาท ถึง 3,900 บาท เมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้วจะมีกำไรวันละประมาณ 800 บาท ถึง 1,000 บาท แต่จากการตรวจสอบร้านขายข้าวมันไก่ของเจ้าหน้าที่ป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแล้ว ไก่ 4 ตัว จะขายได้ 60 จาน จานละ 20 บาทจะมีรายได้ประมาณ 1,200 บาทต่อวัน และมีกำไรวันละไม่เกิน200 บาท ทั้งตามบันทึกถ้อยคำของผู้คัดค้านเอกสารหมาย ร.7ที่ให้ไว้ต่อนายศิกวัสพยานผู้ร้อง ผู้คัดค้านให้ถ้อยคำว่าขายแต่ข้าวมันไก่เพียงอย่างเดียว หาได้ขายข้าวมันไก่ทอดและก๋วยเตี๋ยวดังที่เบิกความไม่ และกำไรจากการขายข้าวมันไก่เพียงอย่างเดียวต่อวันก็ขัดแย้งกับการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ดังที่นายศิกวัสเบิกความ นอกจากนี้ร้อยตำรวจเอกลือศักดิ์ดำเนินสวัสดิ์ พยานผู้ร้องอีกปากหนึ่งผู้ตรวจค้นจับกุมผู้คัดค้านเบิกความว่า ธนบัตรจำนวน 645,120 บาท ที่พบในกระเป๋าเอกสารวางอยู่ในตู้เสื้อผ้าภายในห้องนอน ผู้คัดค้านรับว่าได้มาจากการจำหน่ายเฮโรอีนและเมทแอมเฟตามีน ประกอบทั้งเมื่อพิจารณาภาพถ่ายธนบัตรของกลางหมาย ร.4 แล้ว เห็นได้ว่าเป็นธนบัตรใหม่แบ่งแยกชนิดอย่างเป็นระเบียบมีสายรัดของธนาคารรัดไว้แต่ละปึก จึงไม่น่าจะเป็นธนบัตรที่ผู้คัดค้านเก็บสะสมไว้จากการขายข้าวมันไก่ และยังได้ความอีกว่าก่อนหน้านี้ผู้คัดค้านมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษโดยถูกฟ้องในข้อหาจำหน่ายยาเสพติดให้โทษคดีอื่น ผู้คัดค้านให้การรับสารภาพศาลพิพากษาลงโทษจำคุก คดีถึงที่สุดแล้วตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5047/2541 ของศาลจังหวัดสมุทรสาครเช่นนี้ ที่ผู้คัดค้านนำสืบว่า ธนบัตรจำนวน 645,120 บาท เป็นของผู้คัดค้านที่ได้มาโดยสุจริตจากการขายข้าวมันไก่ ข้าวมันไก่ทอดและก๋วยเตี๋ยวนั้นจึงไม่มีน้ำหนักที่จะหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายและพยานหลักฐานของผู้ร้องได้ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าธนบัตรจำนวน645,120 บาท ดังกล่าวเป็นทรัพย์สินของผู้คัดค้านแต่เป็นทรัพย์สินที่มีอยู่หรือได้มาเกินกว่าฐานะหรือความสามารถในการประกอบอาชีพหรือกิจกรรมอย่างอื่นโดยสุจริตอันเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด จึงต้องริบธนบัตรจำนวนดังกล่าวให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตามความในมาตรา 29 และมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดพ.ศ. 2534 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น"

          พิพากษายืน 

( วีระศักดิ์ รุ่งรัตน์ - สุวัตร์ สุขเกษม - วิบูลย์ มีอาสา )

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1492/2540

ป.วิ.พ. มาตรา 287
พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ.2519 มาตรา 16, 22 

          บัตรกำนัลมีดอกเบี้ยเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินได้อาศัยอำนาจตามมาตรา16(4)และมาตรา22แห่งพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดพ.ศ.2534มีคำสั่งให้ยึดและอายัดไว้และให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเก็บรักษาบัตรกำนัลไว้จนกว่าศาลจะมีคำสั่งหรือคำพิพากษาตามคำร้องของพนักงานอัยการที่ขอให้ศาลริบทรัพย์สินให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแต่เมื่อคดีอาญาดังกล่าวไม่ถึงที่สุดจึงยังไม่มีการริบดังนี้แม้บัตรกำนัลยังเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยอยู่ก็ตามแต่ถ้าศาลสั่งริบบัตรกำนัลย่อมตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดการที่โจทก์ขอให้ส่งบัตรกำนัลต่อศาลหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีย่อมเป็นการขัดสิทธิของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดที่มีอยู่เหนือบัตรกำนัลดังกล่าวกรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา287ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมีสิทธิชนิดหนึ่งอันเข้าลักษณะเป็นสิทธิอื่นๆตามมาตรา287โจทก์จะขอให้ยึดหรือส่งบัตรกำนัลดังกล่าวเสียทีเดียวไม่ได้ได้แต่เพียงอายัดไว้ในกรณีที่บัตรกำนัลจะต้องคืนแก่จำเลยเท่านั้น 

________________________________

          คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน1,075,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 1,000,000 บาท นับจากวันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยไม่ยอมชำระหนี้ โจทก์ขอให้บังคับคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดและอายัดบัตรกำนัลมีดอกเบี้ยธนาคารศรีนคร จำกัด สาขาบางลำภู 2 ฉบับ รวมจำนวน1,300,000 บาท ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยเจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งว่า ทรัพย์สินที่ขอให้ยึดถูกคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินตามพระราชบัญญัติมาตราการในการปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดยึดและอายัดไว้เพื่อบังคับตามกฎหมาย เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่มีอำนาจยึดไว้ได้โจทก์จึงยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้สั่งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ส่งทรัพย์สินที่ขอให้ยึดแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือศาลเพื่อดำเนินการตามสิทธิของโจทก์

          ศาลชั้นต้น มี คำสั่ง ให้ยก คำร้อง

          โจทก์ อุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน

          โจทก์ ฎีกา

          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีมีปัญหาว่าโจทก์ขอให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดส่งมอบบัตรกำนัลมีดอกเบี้ยธนาคารศรีนคร จำกัด สาขาบางลำภู จำนวน 2 ฉบับ ของจำเลยแก่ศาลหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อดำเนินการตามสิทธิของโจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาต่อไปได้หรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าบัตรกำนัลมีดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องจากการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินได้อาศัยอำนาจตามมาตรา 16(4) และมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มีคำสั่งให้ยึดและอายัดไว้และคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินมีความเห็นว่าสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดยังต้องเก็บรักษาบัตรกำนัลดังกล่าวไว้จนกว่าศาลจะมีคำสั่งหรือคำพิพากษาตามคำร้องของพนักงานอัยการที่ขอให้ศาลริบทรัพย์สินให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด แต่จนบัดนี้คดีอาญาดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุด จึงยังไม่เป็นการริบ ดังนี้ แม้บัตรกำนัลดังกล่าวยังเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยอยู่ก็ตาม แต่ถ้าศาลสั่งริบ บัตรกำนัลย่อมตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด การที่โจทก์ขอให้ส่งบัตรกำนัลดังกล่าวต่อศาลหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ย่อมเป็นการขัดสิทธิของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดที่มีอยู่เหนือบัตรกำนัลดังกล่าวนี้ กรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมีสิทธิชนิดหนึ่งอันเข้าลักษณะเป็นสิทธิอื่น ๆ ตามมาตรา 287 โจทก์จะขอให้ยึดหรือส่งบัตรกำนัลดังกล่าวเสียทีเดียวไม่ได้ ได้แต่เพียงอายัดไว้ ในกรณีที่บัตรกำนัลดังกล่าวจะต้องคืนแก่จำเลยเท่านั้น หากศาลในคดีดังกล่าวไม่ริบที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น"

          พิพากษายืน 

( อำนวย หมวดเมือง - สัญชัย สงหลกะ - วุฒิ คราวุฒิ )

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1717/2548

พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 22, 27, 28, 29, 31, 32

          ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ริบ ทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 ผู้ถูกฟ้องว่าเป็นเจ้าพนักงานร่วมกับพวกกระทำความผิด เกี่ยวกับยาเสพติด และทรัพย์สินของผู้คัดค้านผู้เป็นภริยาของจำเลยที่ 3 รวม 7 รายการ เนื่องจากเป็นทรัพย์สิน ที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด โดยขอให้ริบตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตาม พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 3, 15, 22, 27, 29, 31 ซึ่งตาม พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 32 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ในกรณีที่มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี หรือมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องผู้ต้องหาหรือจำเลยรายใดให้การยึดหรือ อายัดทรัพย์สินของผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้น รวมทั้งทรัพย์สินของผู้อื่นที่ได้ยึดหรืออายัดไว้ เนื่องจากเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดของผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้นสิ้น สุดลง?" ดังนั้น เมื่อปรากฏหลักฐานว่า ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษา อันเป็นที่สุดให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จึงมีผลให้การยึดหรืออายัดทรัพย์สินทั้ง 7 รายการของผู้คัดค้านและจำเลยที่ 3 สิ้นสุดลงตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว แต่เมื่อศาลชั้นต้นได้ประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์ตามกฎหมายให้บุคคลซึ่งอ้าง ว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินยื่นคำร้องคัดค้านคำร้องขอให้ริบทรัพย์สินเข้ามาใน คดี คงมีแต่ผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านเพียงผู้เดียว โดยจำเลยที่ 3 มิได้ยื่นคำร้องคัดค้านเข้ามาในคดีตามกระบวนการแห่ง พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปราม ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 28, 29 แม้ผู้คัดค้านจะเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของ จำเลยที่ 3 ก็ไม่อาจขอคืนทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 แทนได้

________________________________

          ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2543 เวลาประมาณ 17 นาฬิกา เจ้าพนักงานจับกุมจำเลยทั้งสี่พร้อม ยึดได้เมทแอมเฟตามีน จำนวน 10,000 เม็ด น้ำหนัก 909.658 กรัม มีปริมาณคำนวณเป็นน้ำหนักสารบริสุทธิ์ได้ 239.980 กรัมเป็นของกลาง โดยกล่าวหาว่าร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ต่อมาผู้ร้องได้ฟ้องจำเลยทั้งสี่ในความผิดต่อ พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 4801/2543 หมายเลขแดงที่ 7677/2543 ของศาลชั้นต้น ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำความผิดดังกล่าวปรากฏต่อเลขาธิการคณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และกรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่าทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 กับของผู้คัดค้านผู้เป็นภริยาของจำเลยที่ 3 เป็นทรัพย์สินเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด จึงมีคำสั่งให้ตรวจสอบทรัพย์สินเป็นกรณีเร่งด่วน และคำสั่งที่ 98/2543 ลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2543 ให้อายัดทรัพย์สินของผู้คัดค้านไว้ชั่วคราว รวม 3 รายการ ต่อมามีคำสั่งที่ 141/2543 ลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2543 ให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 ไว้ชั่วคราว รวม 3 รายการ และมีคำสั่งที่ 142/2543 ลงวันวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2543 ให้ยึดทรัพย์สินของผู้คัดค้านไว้ชั่วคราวอีก 1 รายการ ต่อมาคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินวินิจฉัยว่าทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 และผู้คัดค้านทั้ง 7 รายการดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยา เสพติดของจำเลยที่ 3 และผู้คัดค้านไม่สามารถแสดงหลักฐานได้ว่าทรัพย์สินที่ถูกตรวจสอบไม่เกี่ยว เนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและเป็นทรัพย์สินที่มีอยู่หรือ ได้มาเกินกว่าฐานะหรือความสามารถในการประกอบอาชีพกิจกรรมอย่างอื่นโดยสุจริต จึงมีคำสั่งที่ 162/2543 ลงวันที่ 22 กันยายน 2543 ให้ยึดทรัพย์สินทั้ง 7 รายการ ผู้ร้องเห็นด้วยกับคำวินิจฉัยดังกล่าว จึงขอให้ศาลมีคำสั่งริบทรัพย์สินทั้ง 7 รายการให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตาม พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 3, 15, 22, 27, 29, 31

          ศาลชั้นต้นได้ประกาศโฆษณาใน หนังสือพิมพ์ตามกฎหมายให้บุคคลซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินดังกล่าวยื่น คำร้องคัดค้านคำร้องขอให้ริบทรัพย์สินเข้ามาในคดี

          ผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านว่า ผู้คัดค้านและจำเลยที่ 3 ไม่เคยเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและเป็นเจ้าของ ทรัพย์สินตามคำร้องซึ่งได้มาโดยสุจริตจากการทำมาหาได้ร่วมกันพอควรแก่ฐานะ หรือความสามารถในการประกอบอาชีพ ไม่เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ผู้ร้องยื่นคำร้องล่วงเลยกำหนดระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ขอให้ยกคำร้องและสั่งคืนทรัพย์สินทั้ง 7 รายการแก่ผู้คัดค้าน

          ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า ให้ริบทรัพย์สินทั้ง 7 รายการให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด

          ผู้คัดค้านอุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

          ผู้คัดค้านฎีกา

          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติได้ว่า ผู้คัดค้านเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของ จำเลยที่ 3 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 4801/2543 หมายเลขแดงที่ 7677/2543 ของศาลชั้นต้น ซึ่งถูกดำเนินคดีในข้อหาความผิดต่อ พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ ซึ่งตาม พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 32 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ในกรณีที่มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี หรือมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้อง ผู้ต้องหาหรือจำเลยรายใดให้การยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ต้องหาหรือจำเลย รายนั้นรวมทั้งทรัพย์สินของผู้อื่นที่ได้ยึดหรืออายัดไว้เนื่องจากเกี่ยว เนื่องกับการกระทำความผิดของผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้นสิ้นสุดลง?" ดังนั้น เมื่อปรากฏหลักฐานว่า ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาที่ 5052/2545 อันเป็นที่สุดให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 ในความผิดฐานเป็น เจ้าพนักงานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จึงมีผลให้การยึดหรืออายัดทรัพย์สินทั้ง 7 รายการของผู้คัดค้านและจำเลยที่ 3 สิ้นสุดลงตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว แต่เมื่อศาลชั้นต้นได้ประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์ตามกฎหมายให้บุคคลซึ่งอ้าง ว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินยื่นคำร้องคัดค้านคำร้องขอให้ริบทรัพย์สินเข้ามาใน คดี คงมีแต่ผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านเพียงผู้เดียว โดยจำเลยที่ 3 มิได้ยื่นคำร้องคัดค้านเข้ามาในคดีตามกระบวนการแห่ง พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 28, 29 แม้ผู้คัดค้านจะเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 3 ก็ไม่อาจขอคืนทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 แทนได้ ฎีกาของผู้คัดค้านฟังขึ้นบางส่วน

          พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง และให้คืนทรัพย์สินของผู้คัดค้านตามคำร้องรวม 4 รายการ แก่ผู้คัดค้าน.

( วิเชียร มงคล - กุลพัชร์ อิทธิธรรมวินิจ - ประจวบ พัชนีรัตนกรณ์ )

ศาลอาญา - นายวิชิต ลีธรรมชโย
ศาลอุทธรณ์ - นายโสภณ โรจน์อนนท์

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8593/2548

ป.วิ.พ. มาตรา 84
พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 29 

          โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งริบทรัพย์ของจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้คัดค้าน ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปรามปราบผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 29 วรรคสอง เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกผู้คัดค้านในความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ย่อมถือได้ว่าผู้คัดค้านเป็นผู้เกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดมาก่อนตามบทบัญญติดังกล่าว ดังนั้น เงินหรือทรัพย์ของผู้คัดค้านที่มีอยู่หรือได้มาเกินฐานะหรือความสามารถในการประกอบอาชีพหรือกิจกรรมอย่างอื่นโดยสุจริต จึงถูกสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นทรัพย์ที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ผู้คัดค้านมีหน้าที่นำสืบเพื่อพิสูจน์หักล้าง 

________________________________ 

          คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามในความผิดฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตในระหว่างที่ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีดังกล่าว โจทก์ยื่นคำร้องว่าเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมีคำสั่งให้ตรวจสอบทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 ที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและมอบให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการ ผลการตรวจสอบปรากฏว่ามีทรัพย์สินที่เกี่ยวข้อง 2 ประการ คือ โทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้อโมโตโรล่า หมายเลข 01-8591619 จำนวน 1 เครื่อง และเงินฝากในบัญชีเงินฝากประจำธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาสะพานใหม่ ดอนเมือง เลขที่บัญชี 081-1-05212-7 ชื่อบัญชี นางสาวอรุณ ประชาสิทธิ์ จำเลยที่ 3 จำนวนเงิน 204,078.39 บาท ต่อมาคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินวินิจฉัยว่าทรัพย์ของจำเลยที่ 3 ผู้ถูกตรวจสอบจำนวน 2 รายการเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดจึงมีคำสั่งให้ยึดและอายัดทรัพย์ดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยเงินฝากไว้ ขอให้ศาลมีคำสั่งริบทรัพย์สินทั้งสองรายการดังกล่าวให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 3, 19, 20, 21, 22, 23, 27, 29, 31

          จำเลยที่ 3 ยื่นคำคัดค้านว่า ทรัพย์สินที่โจทก์ร้องขอให้ศาลสั่งริบนั้นมิใช่ทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ขอให้มีคำสั่งปล่อยทรัพย์สินที่ยึดและอายัด และคืนแก่จำเลยที่ 3 ผู้คัดค้าน

          ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้ริบเงินฝากในบัญชีเงินฝากประจำธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาสะพานใหม่ดอนเมือง เลขที่บัญชี 081-1-05212-7 ชื่อบัญชีของจำเลยที่ 3 ยอดเงินคงเหลือ 204,078.39 บาท ให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด คำขออื่นให้ยก

          จำเลยที่ 3 อุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

          จำเลยที่ 3 ฎีกา

          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดี มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ผู้คัดค้านว่า ทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 ผู้คัดค้าน คือเงินฝากในบัญชีเงินฝากประจำธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาสะพานใหม่ดอนเมือง เลขที่บัญชี 081-1-05212-7 ชื่อบัญชีจำเลยที่ 3 ผู้คัดค้าน ยอดเงินคงเหลือ 204,078.39 บาท เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดอันเป็น เหตุให้ศาลมีคำสั่งริบทรัพย์สินดังกล่าวให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบ ปรามยาเสพติด ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 หรือไม่ โดยจำเลยที่ 3 ผู้คัดค้านฎีกาว่า การริบทรัพย์สินตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยว กับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 29, 31 นั้นจะต้องเป็นทรัพย์ที่จำเลยที่ 3 ผู้คัดค้านได้มาจากการกระทำความผิดในคดีที่จำเลยที่ 3 ผู้คัดค้านถูกลงโทษเกี่ยวกับยาเสพติดนั้น โดยในคดีที่ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 3 ผู้คัดค้านในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด โจทก์ไม่ได้นำสืบให้ศาลเห็นว่าเงินในบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 3 ผู้คัดค้านที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งให้ริบดังกล่าวเป็นเงินที่ได้มาจากการ กระทำความผิดในคดีเกี่ยวกับยาเสพติดที่จำเลยที่ 3 ผู้คัดค้านถูกลงโทษ เห็นว่า คดีนี้ เป็นเรื่องที่โจทก์ขอให้ศาลมีคำสั่งยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 ผู้คัดค้าน ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 29 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติว่า เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ ถ้าปรากฏหลักฐานว่าจำเลยหรือผู้ถูกตรวจสอบเป็นผู้เกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดมาก่อน ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบรรดาเงินหรือทรัพย์ที่ผู้นั้นมีอยู่หรือได้มาเกินกว่าฐานะหรือความสามารถในการประกอบอาชีพ หรือกิจกรรมอย่างอื่นโดยสุจริต เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 3 ผู้คัดค้านในความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 3 ผู้คัดค้านเป็นผู้เกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับ ยาเสพติดมาก่อนตามความหมายของบทบัญญัติดังกล่าว ดังนั้น เงินหรือทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 ผู้คัดค้านที่มีอยู่หรือได้มาเกินฐานะหรือความสามารถในการประกอบอาชีพหรือ กิจกรรมอย่างอื่นโดยสุจริตจึงถูกสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยว เนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งจำเลยที่ 3 ผู้คัดค้านมีหน้าที่นำสืบเพื่อพิสูจน์หักล้าง ฎีกาของจำเลยที่ 3 ผู้คัดค้านที่ว่า โจทก์ไม่ได้นำสืบไว้ในคดีที่ศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 3 ว่าเงินในบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 3 ผู้คัดค้านเป็นเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดในคดีเกี่ยวกับยาเสพติดที่ จำเลยที่ 3 ผู้คัดค้านถูกลงโทษ ศาลย่อมไม่มีอำนาจสั่งริบจึงฟังไม่ขึ้น และเมื่อปรากฏจากทางนำสืบจำเลยที่ 3 ผู้คัดค้านไม่อาจนำสืบได้ว่า เงินฝากในบัญชีธนาคารของจำเลยที่ 3 ผู้คัดค้านดังกล่าวเป็นเงินที่ได้มาในการประกอบอาชีพหรือกิจกรรมอย่างอื่น โดยสุจริต การที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้นให้ริบทรัพย์สินดัง กล่าวของจำเลยที่ 3 ผู้คัดค้านให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 3 ผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น

          พิพากษายืน

( พรเพชร วิชิตชลชัย - รุ่งโรจน์ รื่นเริงวงศ์ - ปราโมทย์ พิพัทธปราโมทย์ )

 

หากประชาชนท่านใดมีปัญหาทำนองนี้ อยากปรึกษาทนายความ พี่ตุ๊กตาและ 7 ทนาย Thai Law Consult ยินดีให้คำปรึกษานะคะ โทร. 098-915-0963 numaphon@gmail.com