ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร น.บ.ท.64 ผู้เรียบเรียง
ยกหูถึง "พี่ตุ๊กตา"
เรื่องที่ 42 การเรียกค่าทดแทนในกรณีผิดสัญญาหมั้น ต้องทำอย่างไร ป.พ.พ. 1439, 1440
ถาม - การเรียค่าทดแทน ในกรณีผิดสัญญาหมั้น ต้องทำอย่างไร
มีหลักกฎหมายดังนี้
มาตรา 1437 การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์ สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิง เพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น
เมื่อหมั้นแล้วให้ของหมั้นตกเป็นสิทธิแก่หญิง
สินสอด เป็นทรัพย์สินซึ่งฝ่ายชายให้แก่บิดามารดา ผู้รับบุตรบุญธรรม หรือผู้ปกครองฝ่ายหญิง แล้วแต่กรณี เพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมสมรส ถ้าไม่มีการสมรสโดยมีเหตุสำคัญอันเกิดแก่หญิง หรือโดยมีพฤติการณ์ซึ่ง ฝ่ายหญิงต้องรับผิดชอบ ทำให้ชายไม่สมควรหรือไม่อาจสมรสกับหญิงนั้น ฝ่ายชายเรียกสินสอดคืนได้
ถ้าจะต้องคืนของหมั้นหรือสินสอดตามหมวดนี้ ให้นำบทบัญญัติ มาตรา 412 ถึง มาตรา 418 แห่งประมวลกฎหมายนี้ ว่าด้วยลาภมิควรได้มาใช้ บังคับโยอนุโลม
มาตรา 1439 เมื่อมีการหมั้นแล้ว ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่ง มีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทน ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญา หมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย
มาตรา 1440 ค่าทดแทนนั้นอาจเรียกได้ ดังต่อไปนี้
(1) ทดแทนความเสียหายต่อกายหรือชื่อเสียงแห่งชายหรือหญิงนั้น
(2) ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้น บิดามารดาหรือบุคคล ผู้กระทำการในฐานะเช่นบิดามารดาได้ใช้จ่ายหรือต้องตกเป็นลูกหนี้ เนื่อง ในการเตรียมการสมรสโดยสุจริตและตามสมควร
(3) ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้นได้จัดการทรัพย์สิน หรือการอื่นอันเกี่ยวแก่อาชีพหรือทางทำมาหาได้ของตนไปโดยสมควร ด้วยการคาดหมายว่าจะได้มีการสมรส
ในกรณีที่หญิงเป็นผู้มีสิทธิได้ค่าทดแทน ศาลอาจชี้ขาดว่าของหมั้นที่ ตกเป็นสิทธิแก่หญิงนั้นเป็นค่าทดแทนทั้งหมด หรือเป็นส่วนหนึ่งของ ค่าทดแทนที่หญิงพึงได้รับ หรือศาลอาจให้ค่าทดแทนโดยไม่คำนึงถึง ของหมั้นที่ตกเป็นสิทธิแก่หญิงนั้นก็ได้
ข้อสังเกต จากทีมทนายความ Thai Law Consult :
ทนายเอก ขัตติยะ นวลอนงค์ น.บ.ท.62 ตั้งข้อสังเกตดังนี้
1. การหมั้นจะต้องมีของหมั้นเสมอ และของหมั้นตกเป็นสิทธิของหญิงในทันทีที่หมั้นกัน
2. ทรัพย์สินที่ให้แก่กัน โดยชายและหญิงไม่มีเจตนาจะไปสมรสกัน ไม่เป็นสินสอดและของหมั้นตามกฎหมาย ดังนั้น ฝ่ายชายจะอ้างการไม่จดทะเบียนสมรส เพื่อเรียกคืนไม่ได้ (ฎีกาที่ 8954/2549)
3. ที่จะถือว่าเป็นของหมั้นนั้น ต้องมีการมอบของหมั้นให้แก่ฝ่ายหญิงอย่างแท้จริงด้วย ดังนั้น ถ้าฝ่ายชายเพียงแต่สัญญาว่าจะมอบทรัพย์สินให้ในอนาคต หรือเพียงแต่ทำสัญญากู้ไว้ มิใช่ของหมั้น ฝ่ายหญิงจะฟ้องเรียกทรัพย์สินนั้นหรือเงินกู้ไม่ได้ (ฎีกาที่ 1852/2506)
4. การหมั้นจะต้องมีการส่งมอบของหมั้นกันแล้วด้วย การหมั้นจึงจะสมบูรณ์
การทำสัญญากู้ เป็นเพียงจะให้ทรัพย์สิน เป็นของหมั้นในวันข้างหน้า จึงไม่ใช่ของหมั้น กรณีต่างกันสินสอด ซึ่งไม่จำต้องส่งมอบในขณะทำสัญญาหมั้น ดังนั้น จึงสามารถทำสัญญากู้ไว้แทนสินสอดได้
5. แม้เงินตามสัญญากู้จะไม่ใช่สินสอด เพราะเป็นการแต่งกันตามประเพณี แต่การทำสัญญากู้ ก็เพื่อเป็นการตอบแทนที่หญิงอยู่กินกับชาย เป็นข้อตกลงที่บังคับได้ เมื่อมีการแต่งงานและอยู่กินกันแล้ว ฝ่ายชายไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง ฝ่ายหญิงฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้ได้ (ฎีกาที่ 2237/2519)
6. สินสอด เป็นทรัพย์สินที่ฝ่ายชายให้แก่บิดามารดา ผู้รับบุตรบุญธรรม หรือผู้ปกครองของฝ่ายหญิง ถ้าไม่มีบุคคลดังกล่าว ทรัพย์สินนั้นก็ไม่ใช่สินสอด (ฎีกาที่ 767/2517)
พี่ตุ๊กตา ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร น.บ.ท.64 ตั้งข้อสังเกตดังนี้ :
ป.พ.พ. 1438 การหมั้นไม่เป็นเหตุที่จะร้องขอให้ศาลบังคับให้สมรสได้
จำไว้นะคะว่า - แม้จะมีการหมั้นกันโดยถูกต้องตามกฎหมาย ถ้ามีการผิดสัญญาหมั้น ก็ไม่อาจฟ้องบังคับให้ไปจดทะเบียนสมรสได้ ทั้งนี้ เพราะการสมรสต้องเกิดจากชายและหญิงสมัครใจยินยอมด้วยกัน สภาพแห่งการหมั้น จึงไม่เปิดช่องให้บังคับไปจดทะเบียนสมรสกันได้ จะมีก็เพียงสิทธิที่จะเรียกค่าทดแทน ตามมาตรา 1439, 1440 เท่านั้น ฎีกาที่ 134/2481 ชายหญิงตกลงทำการสมรส และทำพฺิธีแต่งงานตามประเพณีแล้ว แต่ฝ่ายหญิงไม่ยอมจดทะเบียนสมรส เช่นนี้ ฝ่ายชายจะฟ้องบังคับให้จดทะเบียนสมรสไม่ได้ |
ทนาย น.บ.ท.64 ออกความเห็นดังนี้ :
การเรียกค่าทดแทนในกรณีผิดสัญญาหมั้น เป็นไปตามมาตรา 1439, 1440
1. เมื่อมีการหมั้นแล้ว ฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้น อีกฝ่ายมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทน
ในกรณีหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้น ให้คืนของหมั้นให้แก่ฝ่ายชายด้วย
2. ค่าทดแทนที่เรียกได้ ตามมาตรา 1440 คือ
2.1 ทดแทนความเสียหายแก่กาย หรือชื่อเสียงของชายหรือหญิง
2.2 ทดแทนความเสียหายเนื่องในการเตรียมการสมรสโดยสุจริตและตามสมควร
2.3 ทดแทนความเสียหายจากการจัดการทรัพย์สินหรือการทำมาหาได้เนื่องจากการคาดหมายว่าจะได้มีการสมรส
ทนายน้อย ปราธูป ศรีกลับ น.บ.ท.64 ให้ข้อสังเกตว่า
1. ต้องเข้าใจด้วยว่า ค่าทดแทนจะเรียกกันได้ต่อเมื่อมีการหมั้นแล้ว และต้องมอบของหมั้นกันด้วย
2. ผู้จะเรียกร้องให้รับผิดใช้ค่าทดแทน ได้แก่ ฝ่ายชาย หรือ ฝ่ายหญิง ไม่จำกัดเฉพาะฝ่ายหญิงหรือฝ่ายชายเท่านั้น ดังนั้น บิดามารดาหรือผู้ปกครองจึงมีอำนาจเรียกค่าทดแทนได้ (ฎีกาที่ 736/2526)
3. ชายหญิงที่สมัครใจอยู่กัน ไม่นำพาต่อการจดทะเบียนสมรส จะอ้างว่าอีกฝ่ายผิดสัญญาหมั้นไม่ได้ (ฎีกาที่ 1336/2518 หญิงสมัครใจแต่งงานอยู่กินกับชายได้ปีเศษ โดยต่างไม่นำพาต่อการจดทะเบียนสมรส ดังนี้ จะอ้างว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นมิได้ หญิงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าทดแทนเพื่อการเสียความบริสุทธิ์ของตนจากชาย)
ทนายสมบัติ บุญสุทัศน์ น.บ.ท.63 ให้ความเห็นดังนี้
1. ถ้ามีการหมั้น หญิงอาจจะเรียกร้องค่าเสียหายต่อกายหรือชื่อเสียงได้ตาม มาตรา 1440 (1) ฎีกาที่ 2626/2518 ชายไม่สมรสกับหญิงคู่หมั้น เป็นการผิดสัญยาหมั้น หญิงได้ร่วมประเวณีกับชายจนตั้งครรภ์ และชายเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้น หญิงต้องได้รับความเสียหายต่อกายและชื่อเสียง เรียกร้องได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1440 (1)
2. แม้หญิงยอมให้ชายกระทำชำเรา ไม่เป็นการละเมิดต่อหญิง ฟ้องเรียกค่าเสียหายไม่ได้ แต่หากชายหญิงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยชายจะจดทะเบียนสมรสด้วย มิฉะนั้น จะชดใช้ค่าเสียหายให้ สัญญาดังกล่าวใช้บังคับได้ (ฎีกาที่ 449/2531)
ทนายสาวิตรี จิตซื่อ โทรศัพท์มาจาก อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา บอกพี่ตุ๊กตาดังนี้
1. ค่าใช้จ่ายที่เสียไปในการแต่งงาน เลี้ยงดูแขก ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายในการเตรียมการสมรส ตามมาตรา 1440(2) ฟ้องเรียกไม่ได้ (ฎีกาที่ 1515/2506, 90/2512)
2. ฎีกาที่ 3366/2525 หลังจากแต่งงานแล้ว โจทก์ลาออกจากงานบริษัท เมื่อจำเลยไม่ยอมจดทะเบียนสมรส โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกค่าทดแทนความเสียหายในการที่ไม่ได้ทำงานดังกล่าวได้
ทนายอู๋ อุดมศักดิ์ ศักดิ์ธงชัย น.บ.ท.64 ให้ความเห็นว่า เมื่อได้ความว่า ชายหญิงได้จดทะเบียนสมรสกันแล้ว ก็จะไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทน ตามมาตรา 1440
ฎีกาที่ 83/2542 การที่โจทก์จะมีสิทธิเรียกค่าสินสอดทองหมั้นและ ค่าทดแทนค่าใช้จ่ายในการแต่งงานคืนจากจำเลยได้นั้น ต้องเป็นกรณีที่มีการหมั้นแล้ว แต่ไม่มีการสมรส โดยเป็น ความผิดของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1437 วรรคสาม,1439 และ 1440(2) เมื่อปรากฏว่า โจทก์จำเลยได้แต่งงานกันตามประเพณีและจดทะเบียนสมรสกันแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าสินสอดทองหมั้นและค่าทดแทน ค่าใช้จ่ายในการแต่งงานคือจากจำเลยได้เพราะมิใช่กรณี จำเลยผิดสัญญาหมั้น โจทก์กับจำเลยเป็นสามีภริยาโดยทำพิธีแต่งงานตามประเพณี จดทะเบียนสมรสโดยชอบด้วยกฎหมาย และร่วมอยู่กิน ด้วยกันแล้ว เมื่อสาเหตุที่โจทก์จำเลยทะเลาะกัน เป็นเรื่องเงินทองภายในครอบครัวซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดา ทั่วไป มิใช่เป็นสาเหตุร้ายแรงและสามารถปรับความเข้าใจ ระหว่างกันได้ แต่กลับได้ความว่า โจทก์ไปอยู่ที่บ้านสวน ของโจทก์โดยไม่ยอมกลับไปหาจำเลย แม้โจทก์จะมีวันหยุด ในวันอาทิตย์ว่างอยู่ แต่ก็อ้างว่าจะต้องซักผ้าและ ทำธุระส่วนตัว หากโจทก์จะไปพบจำเลยบ้างในวันธรรมดา เป็นบางครั้ง โจทก์ก็อาจกระทำได้เพราะโจทก์เคยอยู่บ้านจำเลย และเคยไปทำงานโดยไปกลับมาแล้ว แต่โจทก์ก็มิได้ขวนขวาย ที่จะกระทำดังกล่าวหรือชักชวนให้จำเลยไปอยู่กับโจทก์ ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยจงใจละทิ้งโจทก์โจทก์จึงไม่มีเหตุที่จะฟ้องหย่า
ทนายป้อม พันศักดิ์ พัวพันธ์ น.บ.ท.64 แนะนำว่า มาตรา 1441, 1442, 1443, 1444, 1445, 1446 ก็น่าสนใจ ควรนำตัวบทมาลงไว้ด้วย
มาตรา 1441 ถ้าคู่หมั้นฝ่ายหนึ่งตายก่อนสมรส อีกฝ่ายหนึ่งจะเรียกร้อง ค่าทดแทนมิได้ ส่วนของหมั้นหรือสินสอดนั้น ไม่ว่าชายหรือหญิงตาย หญิง หรือฝ่ายหญิงไม่ต้องคืนให้แก่ฝ่ายชาย
มาตรา 1442 ในกรณีมีเหตุสำคัญอันเกิดแก่หญิงคู่หมั้นทำให้ชายไม่สมควรสมรสกับหญิงนั้น ชายมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นได้และให้หญิงคืนของ หมั้นแก่ชาย
มาตรา 1443 ในกรณีมีเหตุสำคัญอันเกิดแก่ชายคู่หมั้นทำให้หญิงไม่สมควรสมรสกับชายนั้น หญิงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นได้โดยมิต้องคืนของ หมั้นแก่ชาย
มาตรา 1444 ถ้าเหตุอันทำให้คู่หมั้นบอกเลิกสัญญาหมั้นเป็นเพราะ การกระทำชั่วอย่างร้ายแรงของคู่หมั้นอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งได้กระทำภายหลัง การหมั้นคู่หมั้นผู้กระทำชั่วอย่างร้ายแรงนั้น ต้องรับผิดใช้ค่าทดแทน แก่คู่หมั้นผู้ใช้สิทธิ บอกเลิกสัญญาหมั้นเสมือนเป็นผู้ผิดสัญญาหมั้น
มาตรา 1445 ชายหรือหญิงคู่หมั้นอาจเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งได้ร่วมประเวณีกับคู่หมั้น ของตนโดยรู้หรือควรจะรู้ถึงการหมั้นนั้น เมื่อได้บอกเลิกสัญญาหมั้นแล้วตาม มาตรา 1442 หรือ มาตรา 1443แล้วแต่กรณี
มาตรา 1446 ชายหรือหญิงคู่หมั้นอาจเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งได้ข่มขืนกระทำชำเรา หรือพยายามข่มขืนกระทำชำเราคู่หมั้นของตนโดยรู้หรือควรจะรู้ถึงการหมั้นนั้นได้ โดยไม่จำต้องบอกเลิกสัญญาหมั้น
ทนายศักดิ์ชาย ทุ่งโชคชัย (พี่ชายน้อย) น.บ.ท.59 ให้คำแนะนำว่า มาตรา 1447/1 วรรค 3 อายุความเรียกค่าทดแทน ตามมาตรา 1445 และ 1446 มีกำหนด 6 เดือน นับแต่วันที่ ชายหรือหญิงคู่หมั้น รู้หรือควรรู้ ถึงการกระทำของผู้อื่นอันจะเป็นเหตุให้เรียกค่าทดแทน และรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าทดแทนนั้น แต่ต้องไม่เกิน 5 ปี นับแต่วันที่ผู้อื่นนั้นได้กระทำการดังกล่าว
ข้อเท็จจริง : น้องแพนเค้ก ให้ข้อเท็จจริงดังนี้ (บางส่วน พี่ตุ๊กตาตัดออกไป)
1. น้องแพนเค้ก พบรักกับ พี่เจมส์ วิศวกรหนุ่ม ของบริษัทโตโยต้า ประกอบรถยนต์ รุ่น วีออส
2. ทั้งคู่ หมั้นและจัดเลี้ยงแต่งงานในวันเดียวกัน ที่โรงแรมพลาซ่าแอททินี
3. วันหมั้น พี่เจมส์ มอบเครื่องเพชรให้น้องแพนเค้ก 1 ชุด เพชร 13 กะรัต ทอง 6 บาท เงินสด 1 ล้านบาท (บรรจุในกล่องขนม ไม่ได้เปิดดู)
4. คืนส่งตัว พี่เจมส์ อยากให้ น้องแพนเค้ก ซื้อตึกแถว 4 ห้อง ริมถนนสุุขุมวิท เพื่อตั้งเป็นร้าน 7-11 แต่น้องแพนเค้ก ขอให้พี่เจมส์จดทะเบียนสมรสกับน้องแพนเค้กก่อน
5. 7 เดือน หลังจากวันแต่งงาน พี่เจมส์ ก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมไปจดทะเบียนสมรส
6. ครอบครัวน้องแพนเค้ก รู้ว่า พี่เจมส์ ยังคบหากับแฟนเก่าอีก 2 คน พี่เจมส์กลับบ้านดึก เมื่อน้องแพนเค้ก สอบถามก็ทะเลาะกันเรื่อยมา
7. วันหนึ่ง พ่อของพี่เจมส์ มาหาน้องแพนเค๊ก นำเงิน 1 ล้าน มาคืน บอกว่า เงินที่ยืมจากคุณแม่ของน้องแพนเค้ก เป็นค่าสินสอด วันนั้น แพนเค้ก งงมาก ไม่คิดว่า พี่เจมส์ ถึงขนาดต้องให้คุณพ่อมาบอกเลิก
8. น้องแพนเค้กกับคุณแม่ เอาเครื่องเพชร ที่พี่เจมส์ให้ในวันหมั้น ไปให้ร้านเพชรของเพื่อนแม่ดู ปรากฏว่า เป็นเพชรปลอมทั้งสิ้น มูลค่าจริงๆ ไม่ถึงสามหมื่นบาท
9. น้องแพนเค้ก ไม่อยากเลิกกับพี่เจมส์ เพราะน้องแพนเค้กตั้งท้องได้ 3 เดือนแล้ว เมื่อน้องแพนเค้กบอกเรื่องนี้แก่พี่เจมส์ พี่เจมส์ไม่เชื่อ
10. สองเดือนที่แล้ว น้องแพนเค้ก ไปตรวจการตั้งครรภ์ และเอาผลการตั้งครรภ์มาให้พี่เจมส์ดู พี่เจมส์บอกว่า ไม่ใช่ลูกพี่เจมส์ ให้น้องแพนเค้กไปทำแท้งตั้งแต่ยังท้องอ่อนๆ
11. สองสัปดาห์ที่แล้ว คนข้างบ้านพูดว่า พี่เจมส์พูดว่า "น้องแพนเค้กมีชู้"
12. น้องแพนเค้กถามพี่เจมส์ว่า ทำไมพูดอย่างนั้น พี่เจมส์บอกว่าไม่ได้พูด
13. ตั้งแต่คุณพ่อพี่เจมส์เอาเงินมาคืน 1 ล้านบาท พี่เจมส์ไม่เคยกลับมาค้างที่บ้านน้องแพนเค้กเลย ญาติพี่น้องของพี่เจมส์เอาแต่กล่าวหาน้องแพนเค้กในทางเสียๆหายๆ ว่าชอบขโมยของ และมีชู้
14. 10 วันที่แล้ว น้องแพนเค้กไปหาพี่เจมส์ เพื่อจะพากันไปฝากครรภ์ พี่เจมส์บอกว่า ให้ไปทำแท้ง และพี่เจมส์จะจ้างน้องแพนเค้กเลิกกับพี่เจมส์ด้วยเงิน 5 แสนบาท
15. 7 วันที่แล้ว น้องแพนเค้ก แท้งลูก ระหว่างอยู่โรงพยาบาล พี่เจมส์และครอบครัวของพี่เจมส์ทราบเหตุการณ์ แต่ไม่เคยมาเยี่ยมเลย
16. วันนี้ น้องแพนเค้ก ซึมเศร้า น้ำหนักลดถึง 10 กิโลกรัม เป็นทุกข์มาก จึงต้องหาทางออกด้วยการทวงความยุติธรรมให้ตัวเอง
17. ถามว่า จะฟ้องเรียกค่าทดแทน ในกรณีผิดสัญญาหมั้น ได้ไหม และจะเตรียมคดียังไง
พี่ตุ๊กตา ขอนำไปตอบอาทิตย์หน้านะคะ ตอนนี้ขอเวลาเตรียมคดีอื่นซึ่งกำหนดนัดสืบพยานต่อเนื่องในอาทิตย์หน้าก่อน (ได้ตอบหลังไมค์ไปบ้างแล้ว) เพื่อประโยชน์ในการศึกษากฎหมายของประชาชน พี่ตุ๊กตาขอนำรายละเอียดเพิ่มเติมดังนี้
A. ตามมาตรา 1439 ผู้จะเรียกร้องให้รับผิดใช้ค่าทดแทน ได้แก่ ฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิง มิได้จำกัดเฉพาะชายหรือหญิงคู่หมั้น ดังนั้น บิดามารดาหรือผู้ปกครองจึงมีอำนาจฟ้องเรียกค่าทดแทนได้ (ฎีกาที่ 763/2526, 311/2522)
B. พี่ตุ๊กตา อยากให้อ่านฎีกาเต็ม 2626/2518 พลางๆ ก่อนนะคะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2626/2518
ป.พ.พ. มาตรา 1435, 1439(1), 1445, 1489
ป.วิ.พ. มาตรา 142, 242, 247
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดโดยอาศัยเหตุว่าเพราะจำเลยผิดสัญญาหมั้นจึงเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องค่าทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1439(1) ที่ศาลล่างวินิจฉัยว่าโจทก์เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนฐานละเมิดจากจำเลย จึงเป็นการวินิจฉัยที่ผิดไปจากคำฟ้องของโจทก์กรณีเช่นนี้ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจที่จะวินิจฉัยคดีเสียใหม่ให้ถูกต้องตามประเด็นแห่งคดีได้
การหมั้นที่ฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1435โดยฝ่ายชายมีอายุไม่ถึง 17 ปีบริบูรณ์นั้น หาตกเป็นโมฆะไม่ ทั้งนี้ โดยอาศัยกฎหมายที่ใกล้เคียงเปรียบเทียบ คือ การสมรสที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งมาตรา 1445(1) ในเรื่องอายุทำนองเดียวกัน มาตรา 1489 ก็มิได้บัญญัติให้เป็นโมฆะแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับบัญญัติว่าให้ผู้มีส่วนได้เสียเท่านั้นมีอำนาจร้องขอต่อศาลได้ และไม่ได้บังคับให้ศาลจำต้องสั่งให้เพิกถอนโดยเด็ดขาดด้วย แต่ให้อำนาจศาลที่จะเพิกถอนเสียก็ได้เท่านั้น คงมีแต่เฉพาะในเรื่องการผิดต่อบทบัญญัติแห่งมาตรา 1445(2)(3)(4)และ (5) เท่านั้นที่ให้ถือว่าเป็นโมฆะ
การหมั้นที่ฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1435 เป็นโมฆะหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับอำนาจฟ้องหรือเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่อย่างใด ฉะนั้น การที่ศาลล่างยกประเด็นนข้อนี้ขึ้นวินิจฉํยเสียเองโดยคู่ความมิได้ยกขึ้นต่อสู้จึงไม่ชอบ
จำเลยได้ร่วมประเวณีกับ ร.และเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นร. ย่อมต้องได้รับความเสียหายต่อกายและชื่อเสียง และมีสิทธิเรียกค่าทดแทนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1439(1)
________________________________
โจทก์ในฐานะมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของนางสาวเรณู ลีลาภัทรอายุ 18 ปี ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบิดาผู้ปกครองของจำเลยที่ 2 ได้หมั้นนางสาวเรณู ซึ่งในขณะนั้นมีอายุ 17 ปีให้กับจำเลยที่ 2 ของหมั้นคือแหวนเพชร 1 วง ราคา 10,000 บาท โดยกำหนดจะสมรสกันในเมื่อจำเลยที่ 2 และนางสาวเรณูสำเร็จการศึกษาแล้ว ในวันหมั้นจำเลยที่ 1ขอรับนางสาวเรณูไปอยู่ที่บ้านของจำเลย โดยรับรองว่าจะอุปการะเลี้ยงดูให้การศึกษาแก่นางสาวเรณูเช่นเดียวกับบุตรจำเลย และจะไม่ให้เกิดความเสียหายใด ๆ แก่นางสาวเรณู ถ้าเกิดความเสียหายแก่นางสาวเรณูไม่ว่าในทางเกียรติยศชื่อเสียงหรือทางใด ๆ ขึ้น จำเลยยินยอมชดใช้ค่าทดแทนเป็นเงิน 100,000 บาท หลังจากนางสาวเรณูไปอยู่ร่วมเรือนกับจำเลย จำเลยที่ 2 ได้ปลุกปล้ำขืนใจล่วงเกินทางประเวณีต่อนางสาวเรณูจนตั้งครรภ์ จำเลยที่ 1 ได้แนะนำให้นางสาวเรณูรักษาด้วยการฉีดยาจนแท้งบุตรแล้วขับไล่ออกจากบ้าน กับห้ามมิให้จำเลยที่ 2สมรส และเรียกแหวนหมั้นคืน จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นของหมั้นชอบที่จะตกเป็นสิทธิของนางสาวเรณู การที่นางสาวเรณูต้องสูญเสียความเป็นสาวให้แก่จำเลยที่ 2 เป็นความเสียหายต่อกายและต่อเกียรติยศชื่อเสียง ขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสองให้ร่วมกันรับผิดใช้ค่าทดแทนเป็นจำนวน 40,000 บาท กับให้จำเลยคืนแหวนหมั้นหากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน 10,000 บาทแก่นางสาวเรณู ลีลาภัทร
จำเลยทั้งสองให้การร่วมกันว่า จำเลยที่ 1 เป็นบิดาผู้ปกครองของจำเลยที่ 2 ซึ่งมีอายุ 16 ปีจริง จำเลยที่ 1 จัดการหมั้นนางสาวเรณูให้แก่จำเลยที่ 2 ด้วยแหวนราคา 3,400 บาท จำเลยได้รับนางสาวเรณูมาอยู่ด้วยโดยจัดให้นางสาวเรณูนอนห้องเดียวกับบุตรสาว ส่วนจำเลยที่ 2 อยู่อีกห้องหนึ่งต่างหาก จำเลยที่ 2 ไม่เคยปลุกปล้ำขืนใจนางสาวเรณู นางสาวเรณูไม่เคยตั้งครรภ์ จำเลยที่ 1 ไม่เคยแนะนำให้นางสาวเรณูไปฉีดยาทำแท้ง ไม่เคยขับไล่ไม่เคยห้ามจำเลยที่ 2สมรสกับนางสาวเรณูและไม่เคยเรียกแหวนหมั้นคืน นางสาวเรณูไปอยู่กับจำเลยก็มักจะทะเลากับจำเลยที่ 2 อยู่เสมอ และชอบเที่ยวเตร่กลับบ้านค่ำคืน ตักเตือนไม่เชื่อฟัง เมื่อจำเลยที่ 1 กับบุตรภรรยาออกไปจากบ้านกลับมาก็ทราบว่านางสาวเรณูขนของกลับไปอยู่กับมารดาเลี้ยงเสียแล้ว
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่า ขณะที่มีการหมั้น จำเลยที่ 2มีอายุยังไม่ครบ 17 ปี การหมั้นจึงขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1435 สัญญาหมั้นเป็นโมฆะ แม้ไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นอ้าง ศาลหยิบยกขึ้นได้ และเป็นปัญหาเกี่ยวไปถึงเรื่องอำนาจฟ้อง ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยด้วย โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญาหมั้นได้ ประเด็นเดียวกับแหวนหมั้นจึงไม่ต้องวินิจฉัยถึง ส่วนประเด็นเรื่องละเมิดนั้นเห็นว่า เป็นเรื่องยินยอมด้วยกัน ไม่เชื่อว่าจำเลยที่ 2 จะได้ปลุกปล้ำขืนใจ ร่วมประเวณีนางสาวเรณู ไม่เป็นการละเมิด พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การหมั้นระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 เป็นโมฆะไม่ต้องวินิจฉํยถึงเรื่องของหมั้น ปัญหาว่า จำเลยที่ 2 ได้ปลุกปล้ำขืนใจร่วมประเวณีนางสาวเรณูหรือไม่ เชื่อว่า จำเลยที่ 2 ได้ใช้กำลังปลุกปล้ำขืนใจร่วมประเวณีนางสาวเรณูจริง แม้ต่อมาภายหลังจะยินยอม แต่ครั้งแรกก็เป็นการละเมิดจำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ในการละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 429 ด้วยและกำหนดค่าสินไหมทดแทน 20,000 บาท พิพากษาแก้ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 20,000 บาทนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ประเด็นเรื่องเรียกคืนแหวนหมั้นได้ยุติไปแล้วเพราะโจทก์มิได้ฎีกา คงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยแต่เฉพาะเรื่องค่าสินไหมทดแทนความเสียหายซึ่ง ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์อ้างให้จำเลยรับผิดโดยอาศัยเหตุว่าจำเลยผิดสัญญาหมั้น จึงเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องค่าทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1439(1)การที่ศาลล่างวินิจฉัยว่าโจทก์เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนฐานละเมิดจากจำเลย จึงเป็นการวินิจฉัยผิดไปจากคำฟ้องของโจทก์ ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจที่จะวินิจฉัยคดีเสียใหม่ให้ถูกต้องตามประเด็นแห่งคดีได้ และศาลฎีกาเห็นว่า การหมั้นที่ฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1435โดยฝ่ายชายมีอายุไม่ถึง 17 ปีบริบูรณ์ หาตกเป็นโมฆะไม่ ทั้งนี้ โดยอาศัยกฎหมายที่ใกล้เคียงเปรียบเทียบ คือ การสมรสที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 1445(1) ในเรื่องอายุทำนองเดียวกันนี้ มาตรา 1489 ก็มิได้บัญญัติให้เป็นโมฆะ ตรงกันข้าม กลับบัญญัติว่า ให้ผู้มีส่วนได้เสียเท่านั้นมีอำนาจร้องขอต่อศาลได้ และไม่ได้บังคับให้ศาลจำต้องสั่งให้เพิกถอนโดยเด็ดขาดด้วย แต่ให้อำนาจศาลที่จะเพิกถอนเสียก็ได้เท่านั้น คงมีแต่เฉพาะในเรื่องการผิดต่อบทบัญญัติแห่งมาตรา 1445(2),(3), (4) และ (5) เท่านั้น ที่ให้ถือว่าเป็นโมฆะ (มาตรา 1490 และมาตรา 1491) และประเด็นข้อนี้ไม่ได้เกี่ยวกับอำนาจฟ้อง หรือเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่อย่างใด การที่ศาลล่างทั้งสองยกปัญหาข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยเสียเองโดยคู่ความมิได้ยกขึ้นต่อสู้ จึงไม่ชอบศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้มีปัญหาว่า จำเลยทั้งสองผิดสัญญาหมั้นหรือไม่ประเด็นหนึ่ง และเรื่องค่าเสียหายอีกประเด็นหนึ่งในประเด็นแรกศาลฎีกาฟังว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้น ในประเด็นหลังเชื่อว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมประเวณีกับนางสาวเรณูจริงและนางสาวเรณูได้รับความเสียหายต่อกายและชื่อเสียง และมีสิทธิเรียกค่าทดแทนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1439(1)
พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในผลแห่งคดี
( ชลอ จามรมาน - ชุ่ม สุนทรธัย - อุดม ทันด่วน )
Thai Law Consult นำมาจากหนังสือ แพ่งพิสดาร เล่ม 3 ปี 2552 ของ อาจารย์วิเชียร ดิเรกอุดมศักดิ์

