ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร น.บ.ท.64 ผู้เรียบเรียง
ยกหูถึง "พี่ตุ๊กตา"
เรื่องที่ 61 การให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ในคดียาเสพติด มาตรา 100/2 - พี่ตุ๊กตา ขอย้ำครั้งที่3
วันที่ 5 ธันวาคม 2556 คนไทยทั่วประเทศ ร่วมแสดงความจงรักภักดี ต่อในหลวง ม็อบ กำนัน สุเทพ เทือกสุบรรณ เรียกตัวเองว่า "มวลมหาประชาชน" (หรือ กปปส.) จัดพิธีเฉลิมฉลองวันเกิดในหลวง 3 เวที ทั้งที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่มี พี่ตาล สาทิตย์ วงศ์หนองเตย เป็นแกนนำ มีโฆษกที่เก่งมาก ชื่อ อัญชลี ไพรีรักษ์ (คนนี้น่าจะเป็นโฆษกรัฐบาลทุกยุคทุกสมัยได้เลย หรือจะเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายก ดูแลสื่อ แต่ว่าต้องใส่ความเป็นกลาง และระมัดระวังเรื่องการพูดหมิ่นประมาท)
ที่กระทรวงการคลัง มีพี่น้อย วิทยา แก้วภราดัย อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช เขตปากพนัง และที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ มีกำนัน สุเทพ เป็นแกนนำเอง ทั้งสามเวที มีมวลชนเข้าร่วมจำนวนมาก
ขณะที่ เวทีสนามหลวง มูลนิธิ 5 ธันวา มหาราช ที่มี ดร.จรินทร์ สวนแก้ว เป็นประธานจัดงานทุกปี มีส่วนราชการและนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นประธาน ก็มีมวลชน ไม่สังกัดสี เข้าร่วมด้วยจำนวนมาก
วันที่ 5 คนไทย ทั้งประเทศ มีความสุข ลืมความทุกข์ ความเครียด จากความขัดแย้งกันทางการเมือง ไปวันหนึ่ง
วันนี้ 7 ธันวาคม 2556 ทีวีบลูสกาย (Blue Sky Channel) ของพรรคประชาธิปัตย์ นำภาพเมื่อคืนนี้ ที่คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ประกาศระดมมวลชนครั้งสุดท้าย วันที่ 9 ธันวาคม 2556 เวลา 9.39 น. ต้องชนะ หรือไม่ก็ยอมรับว่าแพ้ ให้คนกรุงเทพฯ ทุกคนเลือกข้าง ถ้าไม่เอาระบอบทักษิณ อย่านอนดูอยู่ที่บ้านเฉยๆ ให้ออกถนน เดินไปที่ทำเนียบรัฐบาล ไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่เอาการยุบสภา หรือ ลาออก ของรัฐบาลชุดยิ่งลักษณ์ และจะใช้อำนาจสภาประชาชน หรือ ประชาชนทวงคืนอำนาจอธิปไตย มาจัดการเอง โดยอ้าง มาตรา 3 และ มาตรา 7 แห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 (ขอนายกพระราชทาน ตามมาตรา 7)
วันนี้ พี่ตุ๊กตา ได้พูดคุยกับทีมทนาย Thai Law Consult แล้วสรุปกันว่า ในรอบปี 2556 คำถามยอดฮิต ที่ประชาชน สอบถามคือ ทำอย่างไรจะได้ การลดโทษตามมาตรา 100/2 พี่ตุ๊กตา จึงร่วมกับทนายหลายท่าน เรียบเรียงบทความนี้ เป็นความรู้กฎหมายสู่ประชาชน
หลักกฎหมาย พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522
มาตรา 100/2 ถ้าศาลเห็นว่าผู้กระทำความผิดผู้ใดได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวน หรือพนักงานสอบสวน ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นก็ได้
คำอธิบาย โปรดดูใน "ถูกเรื่องคดีอาญา ปรึกษา 7 ทนาย" เรื่องที่ 3 ดุลพินิจของศาลในการกำหนดโทษ คดียาเสพติด และมาตรา 100/2
พี่ตุ๊กตา ทนาย ณุมาพร พัฒนพงศธร น.บ.ท.64 ขอเพิ่มเติมข้อมูลดังนี้
กรณีถือว่า ให้ข้อมูลที่สำคัญ
1. โจทก์ขอมาในคำขอท้ายฟ้อง ถือว่าให้ข้อมูล (ฎีกาที่ 6804/2550)
2. พาไปจับกุมจำเลยอีกคนหนึ่ง ถือว่าให้ข้อมูล (ฎีกาที่ 6047/2550)
3. แจ้งข้อมูลจนกระทั่งจับกุมได้ ถือว่าให้ข้อมูล (ฎีกาที่ 2769/2550)
4. นำไปตรวจค้นพบของกลางที่ซุกซ่อน ถือว่าให้ข้อมูล (ฎีกาที่ 5856/2549)
5. ยืนยันภาพถ่าย กระทั่งจับกุมได้ ถือว่าให้ข้อมูล (ฎีกาที่ 2495/2550)
6. ต้องสอบสวนขยายผล จึงถือว่าให้ข้อมูล (ฎีกาที่ 3749/2547)
7. สอบสวนขยายผล จนจับกุมมาดำเนินคดีเดียวกัน ถือว่าให้ข้อมูล (ฎีกาที่ 6555/2547)
8. ถูกจับแล้วสั่งซื้อกระทั่งถูกจับมาดำเนินคดีเดียวกัน ถือว่าให้ข้อมูล (ฎีกาที่ 6991/2547)
9. ขยายผล จนกระทั่งจับกุมได้ ถือว่าให้ข้อมูลที่สำคัญ (ฎีกาที่ 2777/2547) 10. ให้ข้อมูลกระทั่งจับผู้กระทำผิดได้อีก ถือว่าให้ข้อมูล (ฎีกาที่ 7872/2551) |
ข้อสังเกต - ตาม 9. และ 10. มีหมายเหตุท้ายฎีกาที่น่าสนใจอย่างยิ่ง จาก อาจารย์สุรสิทธิ์ แสงวิโรจนพัฒน์ ซึ่งน่าจะเป็นความรู้ทางกฎหมายที่ทนายความควรรู้
ทนายน้อย ปราธูป ศรีกลับ น.บ.ท.64 ให้ความเห็นดังนี้
ผมเคยต่อสู้ 2 เรื่องสำคัญ ในแนวทางที่คล้ายกับฎีกาดังนี้
เรื่องแรก - สมัครใจเป็นสายลับ ถือว่าให้ข้อมูล ทั้งนี้ตาม ฎีกาที่ 1904/2551)
เรื่องที่ 2 - ช่วยเหลือเจ้าพนักงานขยายผลจนจับกุมผู้ค้ารายใหญ่และยึดยาบ้าได้จำนวนมาก เป็นการให้ข้อมูลที่สำคัญ (ฎีกาที่ 3980/2547)
ทนายเอก ขัตติยะ นวลอนงค์ น.บ.ท.62 ให้ความเห็นดังนี้
1. แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับผู้ค้ายาเสพติด จนจับกุมบางคนได้ ถือว่าให้ข้อมูล (ฎีกาที่ 2613/2549)
2. ให้ข้อมูลผู้ว่าจ้าง ให้จำเลยขนยาเสพติด จนมีการออกหมายจับ สมควรวางโทษต่ำลง (ฎีกาที่ 6408/2549)
3. ชี้ภาพถ่ายผู้ขาย จนตำรวจออกหมายจับผู้ขาย ถือว่าเป็นการให้ข้อมูล (ฎีกาที่ 3312/2548)
4. ผมอยากแนะนำ ทนายความของจำเลย กรณีให้การรับสารภาพ ต้องรีบนำสืบเรื่องการให้ข้อมูล จึงจะเข้ามาตรา 100/2 ได้ (ฎีกาที่ 12018/2547)
ตามฎีกานี้ บางคนถามผมว่า ถ้ารับสารภาพแล้ว ต้องใช้ทนายหรือจ้างทนายหรือไม่ หรือว่า ปล่อยไปตามธรรมชาติ ให้ศาลจัดทนายขอแรงให้
ผมตอบว่า ถ้าพอมีกำลังจ้างทนาย จ้างทนายดีกว่า แล้วให้ทนายช่วยนำสืบให้เข้ามาตรา 100/2 จะมีผลดีต่อการวินิจฉัยข้อมูล ข้อเท็จจริง ประกอบการใช้ดุลพินิจของศาล
ทนายสมบัติ บุญสุทัศน์ น.บ.ท.63 ให้ความเห็นว่า
กรณีถือว่าไม่ให้ข้อมูลที่สำคัญ มีดังนี้ |
1. คำให้การรับสารภาพ ไม่ถือเป็นการให้ข้อมูลตามมาตรา 100/2 (ฎีกาที่ 2765/2547)
2. แจ้งข้อเท็จจริง แต่ไม่ยินยอมพาไป ถือว่าไม่ได้ให้ข้อมูล (ฎีกาที่ 8183/2547)
3. กล่างอ้างลอยๆ ไม่มีพยานหลักฐาน ถือว่าไม่ได้ให้ข้อมูล (ฎีกาที่ 7264/2547)
4. แค่ไปตรวจค้น และยึดของกลาง ถือว่าไม่ได้ให้ข้อมูล (ฎีกาที่ 4941/2550)
5. ไม่มีการสอบสวนขยายผล ถือว่าไม่ได้ให้ข้อมูล (ฎีกาที่ 4419/2551, 357/2551, 531/2548
6. ชั้นจับกุม รับสารภาพ แต่นำสืบปฏิเสธในชั้นศาล ถือว่าไม่ได้ให้ข้อมูล (ฎีกาที่ 3044/2553)
ตาม ข้อ 4 , 5 และ 6 ผมอยากให้เพื่อนทนายความ และญาติของผู้ต้องหาหรือจำเลย จำเป็นหลักไว้ ในการต่อสู้คดี เรื่องนี้สำคัญมาก ตามประสบการณ์ของผม
ทนายบอย วีรยุทธ พนังศรี น.บ.ท.64 ให้ข้อมูลดังนี้
1. แจ้งข้อมูล แต่ไม่ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนได้ใช้ประโยชน์ ไม่ถือว่าให้ข้อมูล (ฎีกาที่ 4886/2554 และ 3516/2549)
2. ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเฮโรอีนที่ตำรวจสามารถตรวจค้นพบได้เองตามปกติ ไม่ถือว่าให้ข้อมูล (ฎีกาที่
3. ร่วมกันกระทำความผิดด้วยกัน ถือว่าไม่ได้ให้ข้อมูล (ฎีกาที่ 6637/2543)
ผมเคยต่อสู้คดีนึง ที่ศาลอาญา ถนนรัชดา จำเลยที่ผมเป็นทนายให้ ต่อสู้ว่า ตนเป็นสายลับ หรือ ผู้ช่วยเจ้าพนักงาน จึงต้องซัดทอดเพื่อน ซึ่งเป็นผู้ค้ารายใหญ่ และเป็นจำเลยร่วม
ทนายของเพื่อน ที่เป็นจำเลยร่วม มักจะถามค้าน ลูกความของผม อยู่เสมอว่า ร่วมกันกระทำความผิดด้วยกัน
ผมจึงอยากย้ำอีกทีว่า แม้เราให้การต่อพนักงานสอบสวน หวังผลตามมาตรา 100/2 แต่ถ้าพนักงานสอบสวนไม่ขยายผล และพนักงานอัยการถามค้าน หรือนำสืบ พนักงานสอบสวน ตอบคำถามค้านหรือเบิกความว่า ไม่ได้มีการขยายผล ลูกความเราก็กินแห้วเท่านั้นล่ะครับ
ทนายอุดมศักดิ์ ศักดิ์ ธงชัย น.บ.ท.64 ให้ความเห็นว่า กรณีมีเหตุสมควรลงโทษจำเลยน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ตามมาตรา 100/2 หรือไม่
ในปัญหาดังกล่าวนี้ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ มาตรา 100/2 บัญญัติว่า ถ้าศาลเห็นว่าผู้กระทำความผิดผู้ใด ได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปราม การกระทำความผิดฯ ต่อพนักงานสอบสวน ฝ่ายปกครอง หรือตำรวจ
ศาลจะลงโทษผู้นั้น น้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นก็ได้
ซึ่งศาลฎีกา โดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า บทบัญญัติดังกล่าว เป็นบทบัญญัติที่ให้ศาลใช้ดุลพินิจที่จะลงโทษจำเลยน้อยกว่า อัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นก็ได้ ดังนั้น จึงต้องแปลความตามบทบัญญัติดังกล่าวโดยเคร่งครัด ตามฎีกาที่ 4143/2554 ป.
ทนายอาวุโส ให้ความเห็นว่า
A. วันก่อน ได้พบกับทนายกิฏโชค เชียงราย ที่ศาลอาญา ทนายกิฎโชค อยากฝากให้น้องๆ ทนายความรุ่นใหม่ ช่วยศึกษาฎีกาต่อไปนี้
- ฎีกาที่ 4143/2554 ป.
- ฎีกาที่ 2777/2547
- ฎีกาที่ 7872/2551
B. ทนายความรุ่นใหม่ ควรจะวางแผน ตั้งแต่ต้น จนนำสืบในศาล ให้เข้ามาตรา 100/2 แม้จะไม่เข้า มาตรา 100/2 แต่คำให้การ ชั้นจับกุม และชั้นสอบสวน เป็นการให้ความรู้แก่ศาล อันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ซึ่งเป็นเหตุบรรเทาโทษ ตามมาตรา 78 แม้ไม่ถือว่าเป็นการให้ข้อมูลที่สำคัญ ทั้งนี้ ตามฎีกาที่ 13487/2553 ป.
ทีมทนาย Thai Law Consult ช่วยกันเรียบเรียงบทความนี้ ในโอกาสครบรอบ 1 ปี เว็บไซต์ ThaiLawConsult.com 12-12-13
ในปีหน้า นับจาก 12-12-13 ถึง 12-12-14 ทีมทนายให้กำลังใจกันเอง และสัญญากันว่า เราจะช่วยกันเรียบเรียงบทความทางกฎหมาย เพื่อเผยแพร่สู่ประชาชน และ บางทีประชาชนที่มีปัญหา อาจนำไปศึกษาเพิ่มเติม เพื่อหาทางออก ให้แก่ตนเองและญาติมิตร
ท่านใดมีปัญหาทำนองนี้ อย่าเป็นทุกข์อยู่คนเดียว ติดต่อพี่ตุ๊กตา มานะคะ โทร. 098-915-0963 numaphon@gmail.com
พี่ตุ๊กตา ขอแนะนำหนังสือที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด สำหรับทนายความรุ่นใหม่ ดังนี้
- คดียาเสพติด ของ อาจารย์สุจิต ปัญญาพฤกษ์ ราคา 195.- บาท สำนักพิมพ์ต้นไผ่
- สู้ความอาญา ตอน คดียาเสพติด ของ อาจารย์สุชาติ รุ่งทรัพยธรรม ราคา 350 บาท สำนักพิมพ์อินเตอร์บุ๊คส์
- เจาะลึกข้อเท็จจริง - ข้อกฎหมาย ตัวอย่างการอุทธรณ์ การให้ข้อมูลที่สำคัญ ของ ท่านสมศักดิ์ เอี่ยมพลับใหญ่ ผู้พิพากษา ราคา 420 บาท สำนักพิมพ์บัณฑิตอักษร
- กฎหมายยาเสพติด ของ อาจารย์ภาสกร ญาณสุธี
ถ้าประชาชนหรือทนายความท่านใด หาซื้อหนังสือที่กล่าวถึงไม่ได้
ลองติดต่อ ร้านปณรัชช หรือ เจ๊เฮี้ยง ใกล้ๆ เนติบัณฑิตยสภา ดูนะคะ โทร.028875653, 081-6892643, 086-3933237
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2777/2547
พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2
เมื่อถูกล่อซื้อจับกุมแล้ว จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพพร้อมทั้งแจ้งข้อเท็จจริงว่า ซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางจากจำเลยที่ 2 เป็นเหตุให้มีการสืบสวนขยายผลจนกระทั่งเจ้าพนักงานตำรวจสามารถจับกุมจำเลยที่ 2 มาดำเนินคดี จำเลยที่ 1 จึงเป็นผูกระทำความผิดผู้ได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจหรือพนักงานสอบสวน เห็นสมควรลงโทษจำเลยที่ 1 น้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 100/2
________________________________
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15, 66, 102 และริบเมทแอมเฟตามีน โทรศัพท์เคลื่อนที่ 2 เครื่อง ของกลาง
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ
จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง วรรคสาม (2),66 วรรคสอง (ที่ถูก มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 66 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่) ประกอบ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 6 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 3 ปี จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม ให้ความรู้แก่ศาลเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เห็นสมควรลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 ปี และริบเมทแอมเฟตามีนและโทรศัพท์เคลื่อนที่ รวม 2 เครื่อง ของกลาง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับพวกจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 40 เม็ด น้ำหนัก 3.61 กรัม ให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อในราคา 3,000 บาท อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ลักษณะการกระทำความผิดก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของยาเสพติด อันเป็นผลกระทบสร้างปัญหาแก่สังคมไม่มีที่สิ้นสุดพฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องที่ร้ายแรง ลำพังแต่จำเลยที่ 1 ไม่มีประวัติกระทำความผิดและมีภาระต้องรับผิดชอบต่อครอบครัว ยังไม่มีเหตุเพียงพอที่จะรอการลงโทษจำเลย ที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยนั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข อย่างไรก็ตามพยานหลักฐานตามทางนำสืบโจทก์ปรากฏว่าเมื่อถูกล่อซื้อจับกุมแล้ว จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพพร้อมทั้งแจ้งข้อเท็จจริงว่าซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางจากจำเลยที่ 2 เป็นเหตุให้มีการสืบสวนขยายผลจนกระทั่งเจ้าพนักงานตำรวจสามารถจับกุมจำเลยที่ 2 มาดำเนินคดี จำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้กระทำความผิดผู้ได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจ หรือพนักงานสอบสวน เห็นสมควรลงโทษจำเลยที่ 1 น้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2 ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2 ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 3 ปี ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กึ่งหนึ่ง คงลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้มีกำหนด 1 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1
( เกรียงชัย จึงจตุรพิธ - วิชัย วิวิตเสวี - สำรวจ อุดมทวี )
หมายเหตุ
ปัญหาว่า อย่างไรเป็นข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ ตามมาตรา 100/2 พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 นั้น ในคำพิพากษาที่หมายเหตุนี้ ศาลฎีกาได้วางหลักว่า การที่จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพพร้อมทั้งแจ้งข้อเท็จจริงว่าซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางจากจำเลยที่ 2 เป็นเหตุให้มีการสืบสวนขยายผลจนกระทั่งเจ้าพนักงานตำรวจสามารถจับกุมจำเลยที่ 2 มาดำเนินคดี เป็นกรณีที่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 100/2 พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522
ปัญหาที่ต้องถามต่อไปมีว่า หากเป็นกรณีกลับกัน กล่าวคือ การให้ข้อมูลของจำเลยที่ 2 เป็นเหตุให้มีการสืบสวนขยายผลจนเจ้าพนักงานตำรวจสามารถจับกุมจำเลยที่ 1 มาดำเนินคดีได้ จะเข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 100/2 พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ด้วยหรือไม่ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การที่ผู้ค้ารายใหญ่ให้ข้อมูลจนนำไปสู่การจับกุมผู้ค้ารายย่อย จะเข้าหลักเกณฑ์ตามมาตราดังกล่าวหรือไม่ (แม้ข้อเท็จจริงในคดีจะไม่ได้ความชัดว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ค้ารายย่อยและจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ารายใหญ่ แต่น่าจะสันนิษฐานได้ว่าอย่างน้อยที่สุด จำเลยที่ 2 ก็มียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายในปริมาณมากกว่าของจำเลยที่ 1 )
ในส่วนของกฎหมายเยอรมัน (รายละเอียดดูใน Gropp/Schubert/Woerner, Rechtliche Initiativen gegen organisierte Kreminalitaet : Deutschland, 2001, 148-161 ; ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง, Der Aufklaerungsgehilfe nach paragraphen 31 BtMG ใน http://www.jurawelt.com/download/ studentenwelt/seminararbeiten/national/aufklaerungsgehilfe/pdf.) การที่ผู้กระทำความผิดได้มาให้ข้อมูลข่าวสารแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ และได้รับประโยชน์จากการให้ข้อมูลดังกล่าว มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องอยู่ 2 ฉบับ ด้วยกัน คือ 1. พ.ร.บ.ว่าด้วยการกันไว้เป็นพยาน (das Kronzeugengesetz) แต่กฎหมายฉบับดังกล่าวได้ถูกยกเลิกไปแล้วตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2000 2. พ.ร.บ.ยาเสพติด (BtMG) ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 1982 ซึ่งมาตรา 31 บัญญัติไว้ว่า "ศาลสามารถใช้ดุลพินิจลดโทษ (ตามมาตรา 49 Abs. 2 ประมวลกฎหมายอาญาเยอรมัน) หรือยกเว้นโทษ (ตามมาตรา 29 Abs. 1, 2, 4 หรือ 6) หากผู้กระทำความผิด 1. ด้วยความสมัครใจเปิดเผยความรับรู้ที่เป็นการสนับสนุนอันสำคัญที่จะทำให้ความผิดที่เขามีส่วนร่วมในการกระทำผิดนั้นได้รับการเปิดเผยออกมา 2. ด้วยความสมัครใจเปิดเผยความรับรู้ของผู้กระทำผิดแก่หน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด (มาตรา 29 Abs. 3, 29a Abs. 1, 30 Abs. 1, 30a Abs. 1) ซึ่งตนได้รับรู้มาถึงแผนการดังกล่าวยังอยู่ในช่วงเวลาที่จะสามารถขัดขวางการกระทำความผิดดังกล่าวได้
หากพิจารณาเนื้อหาของมาตรา 31 พ.ร.บ.ยาเสพติดของเยอรมัน จะเห็นได้ว่า มีหลักการในทำนองเดียวกับมาตรา 100/2 พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 กล่าวคือ การที่ผู้กระทำความผิดให้ข้อมูลข่าวสารแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ แล้วได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากการกระทำดังกล่าว ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนจึงมีความเห็นว่าการตีความถ้อยคำ "...ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ..." สามารถนำหลักเกณฑ์ตามกฎหมายเยอรมันมาปรับใช้ ซึ่งมีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ กล่าวคือ
1. การให้ข้อมูลนั้นต้องเป็นข้อมูลที่เจ้าหน้าที่ของรัฐ (พนักงานฝ่ายปกครอง ตำรวจ หรือพนักงานสอบสวน) ไม่เคยรู้มาก่อน ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน ด้วยเหตุนี้โดยหลักการแล้ว ถ้าเป็นข้อเท็จจริงที่เจ้าหน้าที่ของรัฐรู้อยู่ก่อนแล้ว ศาลไม่สามารถลดโทษให้ต่ำกว่ากึ่งหนึ่งได้ ส่วนผู้กระทำความผิดจะเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดที่ตนได้รับรู้มาหรือไม่นั้น ไม่ใช่ข้อสาระสำคัญ แต่ประเด็นอยู่ตรงที่ว่า ข้อมูลที่เปิดเผยออกมานั้น เพียงพอที่จะนำไปสู่การปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดได้หรือไม่ ถ้าเพียงพอแม้เปิดเผยแต่เพียงบางส่วนก็เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 100/2 พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 แต่แม้จะเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดแต่ไม่เพียงพอที่จะนำไปสู่การปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ก็ไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตราดังกล่าว นอกจากนี้ การให้ข้อมูลจะต้องเป็นการให้ข้อเท็จจริงที่จับต้องได้ เช่น การระบุชื่อผู้ร่วมกระทำความผิด หรือการเปิดเผยถึงการมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดของผู้ร่วมกระทำความผิด การบอกแหล่งที่ซ่อนของยาเสพติด เป็นต้น การให้ข้อมูลในลักษณะที่เป็นข้อสันนิษฐานใด ๆ ไม่ถือว่าเป็นการเพียงพอ
2. การให้ข้อมูลดังกล่าว ต้องเป็นไปโดยสมัครใจ (แม้มาตรา 100/2 พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ไม่ได้เขียนไว้แต่ก็ต้องตีความไปในแนวนี้) หลักในข้อนี้อยู่ตรงที่ว่า ถ้าผู้กระทำความผิดเชื่อว่าตนเองจะให้ข้อมูลหรือไม่ก็ได้ถือว่ากระทำโดยสมัครใจ แต่เมื่อใดก็ตามที่ผู้กระทำได้รับแรงกดดันจนเชื่อว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากที่จะให้ข้อมูลแล้ว ถือว่าไม่ได้กระทำโดยสมัครใจ ส่วนมูลเหตุจูงใจในการให้ข้อมูลไม่ใช่ข้อสาระสำคัญ เช่น ความกลัวว่าจะถูกจับหรือถูกลงโทษ ไม่ทำให้การให้ข้อมูลเป็นไปโดยไม่สมัครใจ
3. การให้ข้อมูลต้องมีความเหมาะสมที่จะนำไปสู่การปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด กล่าวคือ จากการให้ข้อมูลของผู้กระทำความผิดจะต้องทำให้สามารถระบุตัวของผู้สงสัยว่าได้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และต้องสามารถพิสูจน์การกระทำความผิดของผู้ต้องสงสัยดังกล่าวได้ด้วย ดังนั้น การให้ข้อมูลในลักษณะที่ว่านาย ก เป็นผู้ค้ายาเสพติด โดยไม่มีหลักฐานใด ๆ จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 100/2 พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ส่วนปัญหาว่าศาลจะลงโทษผู้กระทำความผิด (กล่าวคือผู้ต้องสงสัยที่ถูกซัดทอด) หรือไม่นั้น ไม่ใช่ข้อสาระสำคัญ นอกจากนี้ การให้ข้อมูลต้องสามารถทำให้การกระทำความผิดที่ยังไม่เปิดเผยได้รับการเปิดเผย หรือการกระทำความผิดที่เปิดเผยแล้วได้รับการเปิดเผยมากยิ่งขึ้น ดังนั้น การที่ผู้กระทำความผิดเป็นแต่เพียงมีความพร้อมที่จะให้การ แต่ไม่อาจที่จะให้ข้อมูลใด ๆ ได้ จึงไม่อาจได้รับการลดโทษตามมาตรา 100/2 พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 แต่จะเป็นกรณีของมาตรา 78 ป.อ.
4. แม้ว่าข้อมูลที่ถูกเปิดเผยนั้นจะมีความเหมาะสมก็ตาม แต่การที่ผู้กระทำความผิดจะได้รับการลดโทษตามมาตรา 100/2 พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 นั้น ก็ยังอยู่ในดุลพินิจของศาล ซึ่งศาลต้องใช้ดุลพินิจ โดยวางอยู่บนพื้นฐานของความหนักเบาของการเข้าไปมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดของผู้กระทำความผิดและความสำคัญของข้อมูลที่ได้รับการเปิดเผยจากบุคคลดังกล่าว ดังนั้น การที่ผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ให้ข้อมูลแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐแล้วสามารถขยายผลไปจับกุมผู้ค้ายาเสพติดรายย่อยได้ จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะลดโทษให้ได้ตามมาตรา 100/2 พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 เพราะหากให้ผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ได้รับประโยชน์จากมาตราดังกล่าว นอกจากจะเป็นการขัดกับเจตนารมณ์ของมาตรา 100/2 ที่มีไว้เพื่อที่จะจัดการกับผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ ยังทำให้การตีความกฎหมายขาดความแน่นอน เช่น การที่ผู้ค้ารายย่อย (ยาบ้า 10 เม็ด) ให้ข้อมูลแล้วสามารถจับกุมผู้ค้ารายใหญ่ (ยาบ้า 5 หมื่นเม็ด) เข้าหลักเกณฑ์ของมาตรา 100/2 พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 การที่ผู้ค้ารายใหญ่ (ยาบ้า 5 หมื่นเม็ด) ให้ข้อมูลแล้วสามารถจับกุมผู้ค้ารายย่อย (ยาบ้า 10 เม็ด) ไม่เข้าหลักเกณฑ์ของมาตรา 100/2 พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 แต่ถ้าผู้ค้ารายใหญ่ (ยาบ้า 1 ล้านเม็ด) ให้ข้อมูลแล้วสามารถจับกุมผู้ค้ารายใหญ่ (ยาบ้า 8 แสนเม็ด) จะเข้าหลักเกณฑ์ของมาตรา 100/2 พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 หรือไม่นั้น อาจจะมีความเห็นที่แตกต่างกันออกไป การมีหลักเกณฑ์ในเรื่องของการชั่งน้ำหนักประโยชน์ระหว่างความหนักเบาของการกระทำความผิดของผู้กระทำความผิดกับความสำคัญของข้อมูลที่ถูกเปิดเผย จึงทำให้การบังคับใช้กฎหมายมีความแน่นอนมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม การชั่งน้ำหนักประโยชน์ระหว่างความหนักเบาของการกระทำความผิดของผู้กระทำความผิด กับความสำคัญของข้อมูลที่ถูกเปิดเผยเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป โดยไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนของยาเสพติดเพียงอย่างเดียว แต่ที่ยกตัวอย่างเรื่องจำนวนยาเสพติดเพียงเพื่อให้เห็นภาพได้ชัเจนขึ้นเท่านั้น
สุรสิทธิ์ แสงวิโรจนพัฒน์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7872/2551
พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2
เหตุที่เจ้าพนักงานตำรวจไปจับจำเลยและพบเมทแอมเฟตามีนของกลางที่บริเวณบ้านของจำเลยก็เพราะเจ้าพนักงานตำรวจจับ ส. ได้พร้อมเมทแอมเฟตามีน 20 เม็ด ส. ให้การว่าซื้อเมทแอมเฟตามีนมาจากจำเลย และจำเลยยังมีเมทแอมเฟตามีนอยู่ที่บ้าน เจ้าพนักงานตำรวจจึงไปจับจำเลยและพบเมทแอมเฟตามีน เมื่อเมทแอมเฟตามีนอยู่ภายในบริเวณบ้านของจำเลย และถูกฝังอยู่ใต้ดินในลักษณะมิดชิด ทั้งพยานโจทก์ก็ยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้ขุดดินนำกล่องบรรจุเมทแอมเฟตามีนขึ้นมา จึงเชื่อว่าจำเลยเป็นผู้ฝังไว้ พยานหลักฐานโจทก์จึงฟังได้มั่นคงว่า จำเลยกระทำความผิดจริง อย่างไรก็ตาม จำเลยให้การด้วยว่า นำเมทแอมเฟตามีนมาจาก ม. เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานตำรวจไปจับ ม. และยึดได้เมทแอมเฟตามีนจำนวนมากถึง 20,200 เม็ดนับได้ว่าจำเลยให้ข้อมูลสำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อเจ้าพนักงานตำรวจตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 100/2 ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำของกฎหมายได้
________________________________
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15, 66, 100/1, 102 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางที่เหลือจากการตรวจพิสูจน์
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคท้าย ให้จำคุกตลอดชีวิต และปรับ 1,000,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 กรณีกักขังแทนค่าปรับมิให้กักขังเกิน 2 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง แต่ให้ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางที่เหลือจากการตรวจพิสูจน์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า วันที่ 1 ธันวาคม 2548 เวลาประมาณ 6 นาฬิกา พันตำรวจโทแทน บุรีภักดี ดาบตำรวจกรุงไกร เจ้าพนักงานตำรวจภูธรจังหวัดลพบุรี กับพวกร่วมกันจับนายสวอง และยึดเมทแอมเฟตามีน 20 เม็ด เป็นของกลางได้ที่ตำบลทะเลชุบศร อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี นายสวองให้การว่าเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวรับมาจากจำเลยและจำเลยยังมีเมทแอมเฟตามีนอีก 2,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ที่บ้าน รอส่งให้ลูกค้า ซึ่งอยู่จังหวัดอ่างทอง ในเวลา 9 นาฬิกา ดาบตำรวจกรุงไกร สิบตำรวจเอกพิทักษ์ และ พันตรำวจโทแทนกับพวกไปบ้านจำเลย ขุดพบกล่องใส่โทรศัพท์มือถือที่ฝังอยู่ในดินอยู่ในบริเวณบ้านจำเลย ภายในมีเมทแอมเฟตามีน 2,000 เม็ด แยกบรรจุในถุงพลาสติกสีฟ้าเข็ม ปากถุงมีที่กดเปิดปิด 10 ถุง ถุงละ 200 เม็ด แต่ละถุงมีเม็ดสีเขียว 2 เม็ด นอกนั้นเป็นเม็ดสีส้ม ถุงพลาสติกดังกล่าวห่อด้วยกระดาษสาชุบเทียนไข และใส่อยู่ในถุงพลาสติกอีกชั้นหนึ่ง ชั้นจับกุมทำบันทึกการจับกุมระบุว่าจำเลยให้การรับสารภาพว่า มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จากนั้นพันตำรวจโทแทนกับพวกจึงไปตรวจค้นบ้านนายมนู พบเมทแอมเฟตามีนอีก 20,200 เม็ด
มีข้อวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า เหตุที่เจ้าพนักงานตำรวจไปจับจำเลยและพบเมทแอมเฟตามีนของกลางที่บริเวณบ้านของจำเลยก็เพราะเจ้าพนักงานตำรวจจับนายสวองได้พร้อมเมทแอมเฟตามีน 20 เม็ด นายสวองให้การว่าซื้อเมทแอมเฟตามีนมาจากจำเลย และจำเลยยังมีเมทแอมเฟตามีนอยู่ที่บ้าน เจ้าพนักงานตำรวจจึงไปจับจำเลยและพบเมทแอมเฟตามีนเมื่อเมทแอมเฟตามีนอยู่ภายในบริเวณบ้านของจำเลย และถูกฝังอยู่ใต้ดินในลักษณะมิดชิดทั้งพยานโจทก์ปากดาบตำรวจกรุงไกร และพันตำรวจโทแทนยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้ขุดดินนำกล่องบรรจุเมทแอมเฟตามีนขึ้นมา น่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพราะหากจำเลยมิได้ขุดดินบริเวณที่ฝังเมทแอมเฟตามีนไว้ เจ้าพนักงานตำรวจคงไม่ทราบ จึงเชื่อว่าจำเลยเป็นผู้ฝังไว้ พยานหลักฐานโจทก์จึงฟังได้มั่นคงว่า จำเลยกระทำความผิดจริง ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น อย่างไรก็ตามจำเลยให้การด้วยว่า นำเมทแอมเฟตามีนมาจากนายมนูเป็นเหตุให้เจ้าพนักงานตำรวจไปจับนายมนูและยึดได้เมทแอมเฟตามีนจำนวนมากถึง 20,200 เม็ด นับได้ว่าจำเลยให้ข้อมูลสำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อเจ้าพนักงานตำรวจ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2 ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำของกฎหมายได้”
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 100/2 ให้จำคุก 25 ปี และปรับ 500,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 กรณีกักขังแทนค่าปรับมิให้เกิน 2 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
( ศิริชัย วัฒนโยธิน - ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล - กีรติ กาญจนรินทร์ )
หมายเหตุ
ปัญหาว่าการให้ข้อมูลของจำเลยในลักษณะใดจึงจะเป็นผลให้จำเลยได้รับประโยชน์จากการลดโทษตามมาตรา 100/2 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ ศาลฎีกาบางแนววางหลักไว้ว่าจำเลยเพียงแต่ให้ข้อมูลที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดของตนเองก็ถือว่าเป็นการเพียงพอแล้ว (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1361/2549, 5856/2549, 526/2551) บางแนวศาลฎีกาวางหลักว่าต้องเป็นการให้ข้อมูลที่นอกเหนือไปจากการกระทำความผิดของตนเองหรือ อีกนัยหนึ่งก็คือต้องให้ข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำความผิดของผู้อื่น (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1487/2550, 2495/2550, 2769/2550, 6047/2550, 6804/2550) คำพิพากษาศาลฎีกาที่หมายเหตุนี้เป็นไปตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาแนวทางหลัง
การตีความของศาลฎีกาในคดีนี้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของการบัญญัติ มาตรา 100/2 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ ที่ต้องการจะทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดซึ่งจะได้ผลก็ต่อเมื่อการให้ข้อมูลของผู้กระทำผิด ทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐสามารถที่จะไปตามจับกุมผู้กระทำความผิดรายอื่นซึ่งเป็นรายที่ใหญ่กว่า (ข้อเท็จจริงในคำพิพากษาศาลฎีกาที่หมายเหตุก็เป็นไปในแนวทางดังกล่าวเพราะในขณะที่จำเลยมียาเสพติดจำนวน 2,000 เม็ด แต่ให้ข้อมูลและจับผู้กระทำความผิดอื่นซึ่งมียาเสพติดจำนวน 20,200 เม็ด) นอกจากนี้ การตีความของศาลฎีกาในคดีนี้ยังทำให้จุดแบ่งแยกระหว่างการลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กับการลดโทษตามมาตรา 100/2 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ มีความชัดเจนกล่าวคือหากจำเลยให้การรับสารภาพและให้ข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำความผิดของตนเองเท่านั้น จำเลยก็จะได้รับการลดโทษตามมาตรา 78 ประมวลกฎหมายอาญาแต่ไม่ใช่ตามมาตรา 100/2 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ
ในประเด็นปัญหาข้อกฎหมายลักษณะเดียวกันการที่ศาลฎีกาตีความแตกต่างกันไปนั้น ย่อมทำให้เกิดความไม่แน่นอนในการบังคับใช้กฎหมาย ประเด็นปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวจึงน่าจะถูกหยิบยกเข้าสู่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเพื่อให้การตีความข้อกฎหมายของศาลฎีกาในปัญหาดังกล่าวไปในแนวทางเดียวกัน
สุรสิทธิ์ แสงวิโรจนพัฒน์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2886/2554 - แจ้งข้อมูล แต่ไม่ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนได้ใช้ประโยชน์ ไม่ถือว่าให้ข้อมูล
ป.วิ.อ. มาตรา 226
พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2
ศาลฎีกาได้วินิจฉัยเชื่อว่าจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนโดยสมัครใจ และเพียงแต่นำคำรับสารภาพดังกล่าวมารับฟังประกอบกับพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีนี้เกิดเหตุก่อนที่จะมีการแก้ไข ป.วิ.อ. มาตรา 84 จึงไม่ต้องห้ามที่จะรับฟังถ้อยคำรับสารภาพในชั้นจับกุม
จำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า จำเลยและ อ. ซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางมาจาก น. ที่บริเวณหน้าห้างสรรพสินค้า ค. พร้อมกับแจ้งตำหนิรูปพรรณ ของ น. ต่อพนักงานสอบสวนด้วย เมื่อยังไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานตำรวจหรือพนักงานสอบสวนได้ใช้ข้อมูลดังกล่าวในการจับกุม น. ผู้ที่จำเลยอ้างว่าจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยให้ข้อมูลที่สำคัญอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษซึ่งจะมีเหตุบรรเทาโทษตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2
________________________________
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ และริบเมทแอมเฟตามีนกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหามีและพาอาวุธปืน ส่วนข้อหาอื่นนอกจากนั้นให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน และปรับ 2,000 บาท ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน และปรับ 2,000 บาท รวมจำคุก 12 เดือน และปรับ 4,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน และปรับ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ข้อหาและคำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 66 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุก 8 ปี คำรับของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก
5 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “...พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ขณะที่จำเลยขับรถยนต์เก๋งยี่ห้อโตโยต้าสีน้ำเงินหมายเลขทะเบียน กท 9381 นนทบุรี โดยมีนายอนุชัย เกษรบัว นั่งคู่กับจำเลย ไปจอดที่บริเวณลานจอดรถของอาคารบุญโตแมนชั่น ซึ่งอยู่ในซอยเขมทัศน์ 2 เจ้าพนักงานตำรวจเข้าตรวจค้นจับกุมจำเลยและนายอนุชัย พร้อมยึดเมทแอมเฟตามีน 100 เม็ด บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกสีฟ้าวางอยู่บริเวณที่พักเท้าของนายอนุชัย กับอาวุธปืนพกแบบรีวอลเวอร์ขนาด .38 เครื่องหมายทะเบียน กจ 1/9215 ของนางอรวรรณอาภรณ์อักษรกิจ ที่ได้รับอนุญาตให้มีและใช้จากนายทะเบียน พร้อมกระสุนปืนขนาด .38 จำนวน 6 นัด อยู่ในรังเพลิงของอาวุธปืนดังกล่าวโดยพกอยู่ที่เอวจำเลย และพบโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบพีซีที 1 เครื่องที่ตัวจำเลย กับโทรศัพท์เคลื่อนที่ 1 เครื่อง ที่ตัวนายอนุชัยจึงยึดเป็นของกลาง และแจ้งข้อหาแก่จำเลยกับนายอนุชัยว่าร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย นายอนุชัยให้การรับสารภาพและศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษและริบเมทแอมเฟตามีนและโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางไปแล้วในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5559/2545 มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยร่วมกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ โจทก์มีจ่าสิบตำรวจธงชัย และจ่าสิบตำรวจสุเทพ เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมเป็นพยานเบิกความสอดคล้องต้องกันว่า ก่อนเกิดเหตุให้สายลับนำเงิน 6,000 บาท ไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีน 100 เม็ด จากนายอนุชัย โดยนัดส่งมอบกันที่หน้าร้านสุกี้ศรีนนท์ ถนนรัตนาธิเบศร์ ซึ่งจำเลยเป็นผู้ขับรถพานายอนุชัยไปรับสายลับที่หน้าร้านสุกี้ศรีนนท์แล้วไปจอดที่บริเวณลานจอดรถของอาคารบุญโตแมนชั่นเมื่อเข้าตรวจค้นจับกุมก็พบเมทแอมเฟตามีน 100 เม็ด อยู่ในรถจำเลยโดยวางอยู่บริเวณที่พักเท้าของนายอนุชัย เห็นว่า เมทแอมเฟตามีนของกลางถูกค้นพบในรถจำเลยแม้เมทแอมเฟตามีนดังกล่าวจะวางอยู่บริเวณที่พักเท้าของนายอนุชัย แต่ก็ไม่ใช่จะถือว่าเป็นของนายอนุชัยแต่เพียงผู้เดียวเพราะในชั้นจับกุมนอกจากจำเลยและนายอนุชัยจะให้การรับสารภาพตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.2 แล้ว จำเลยยังเขียนบันทึกคำรับสารภาพด้วยลายมือของตนเองตามเอกสารหมาย จ. 4 โดยมีรายละเอียดว่า จำเลยและนายอนุชัยร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายบันทึกดังกล่าวจำเลยเขียนที่สถานีตำรวจภูธร เมืองนนทบุรีต่อหน้าร้อยตำรวจเอกพฤฒ รองสารวัตรสืบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองนนทบุรี โดยมีนายอนุชัยลงลายมือชื่อเป็นพยาน จึงไม่มีเหตุสงสัยว่าจะเป็นการทำร้ายร่างกายให้จำเลยรับสารภาพที่สถานีตำรวจดังกล่าว เพราะจำเลยต่อสู้เพียงว่าถูกทำร้ายร่างกายแต่ไม่ทราบว่าเป็นที่ใด ทั้งคำรับสารภาพดังกล่าวกระทำในเวลากระชั้นชิดหลังถูกจับกุมเชื่อว่าเป็นคำรับสารภาพโดยสมัครใจโดยจำเลยยังไม่มีโอกาสหาข้อแก้ตัวเป็นอย่างอื่น นอกจากนี้ในชั้นสอบสวนจำเลยยังให้การรับว่าจำเลยและนายอนุชัยมีเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อเสพคนละ 50 เม็ด โดยจำเลยยืนยันว่าจำเลยให้การในชั้นสอบสวนโดยสมัครใจไม่มีผู้ใดบังคับขู่เข็ญ ซึ่งโจทก์มีร้อยตำรวจเอกวิศิษฎ์ ท่านมุข พนักงานสอบสวนเบิกความสนับสนุนในข้อนี้ ทั้งจำเลยและนายอนุชัยยังได้นำพนักงานสอบสวนไปชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำให้การตามบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ. 9 และภาพถ่ายหมาย จ. 10 ซึ่งนายอนุชัยที่มาเบิกความเป็นพยานจำเลยตอบคำถามค้านของโจทก์ว่า นายอนุชัยกับจำเลยนำชี้โดยไม่มีเจ้าพนักงานตำรวจแนะนำหรือบังคับ แม้หลังจากนั้นจำเลยจะขอให้การในชั้นสอบสวนใหม่ตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ. 11 ว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นของนายอนุชัยเพียงผู้เดียว โดยอ้างว่านายอนุชัยใช้อุบายหลอกล่อและข่มขู่ให้จำเลยให้การในครั้งแรก นายอนุชัยก็มิได้เบิกความว่าได้กระทำเช่นนั้นต่อจำเลยคำให้การในชั้นสอบสวนครั้งที่สองตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ. 11 จึงมีพิรุธส่อแสดงว่าเป็นข้อแก้ตัวเพื่อให้พ้นผิด นอกจากนี้ก็ไม่ปรากฏเหตุให้ระแวงสงสัยว่าพยานโจทก์ทั้งสามจะแกล้งปรักปรำจำเลยโดยไม่มีมูลความจริง พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยร่วมกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ที่จำเลยนำสืบต่อสู้และฎีกาว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นของนายอนุชัย โดยจำเลยไม่มีส่วนรู้เห็นด้วย เพราะนายอนุชัยขออาศัยรถไปลงยังห้องพักของนายอนุชัยที่อาคารบุญโตแมนชั่นซึ่งอยู่เส้นทางเดียวกับบ้านจำเลยนั้น เมื่อพิจารณาจากแผนที่เอกสารหมาย ล. 1 ที่จำเลยอ้างว่า บ้านจำเลยอยู่ที่จุดหมายเลข 4 ปรากฏว่า บ้านจำเลยไม่ได้อยู่เส้นทางเดียวกับอาคารบุญโตแมนชั่นทั้งยังมีถนนรัตนาธิเบศร์ซึ่งเป็นถนนขนาดใหญ่หลายช่องทางรวมทั้งมีถนนคู่ขนานอยู่ด้านข้างคั่นอยู่ ซึ่งไม่สะดวกต่อจำเลยที่เมื่อไปส่งนายอนุชัยแล้วต้องขับรถย้อนออกมากลับรถเสียก่อนจึงจะขับรถเข้าไปในซอยบ้านจำเลยได้ ขัดต่อเหตุผลที่อ้างว่าเป็นการขออาศัยรถเพราะอยู่เส้นทางเดียวกัน ส่วนที่จำเลยอ้างว่าไปพบนายอนุชัยที่ร้านอาหารซึ่งนายดำรงหรือรัก พ่วงนวมเป็นหุ้นส่วนนั้น นายดำรงที่มาเบิกความเป็นพยานจำเลยหาได้ยืนยันถึงความข้อนี้ไม่ นอกจากนี้ระหว่างที่จำเลยขับรถไปส่งนายอนุชัย นายอนุชัยใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ติดต่อกับบุคคลอื่นแล้วให้จำเลยไปจอดรถรับผู้หญิงที่ร้านสุกี้ศรีนนท์โดยไม่ปรากฏว่ารับผู้หญิงดังกล่าวไปที่ใดและไม่มีการพูดคุยกันระหว่างที่ขึ้นมาบนรถ ซึ่งผิดวิสัยของผู้ครอบครองรถโดยทั่วไป ที่จำเลยฎีกาว่า นางสาวเบญจมาศ เรียนปรุ ซึ่งเป็นสายลับในคดีนี้มาเบิกความเป็นพยานจำเลยว่า จำเลยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนในครั้งนี้ โดยนางสาวเบญจมาศมีชื่อเล่นว่าน้ำฝน ดังได้เคยแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองนนทบุรี เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2549 ตามรายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐานเอกสารท้ายคำแถลงการณ์ในชั้นฎีกานั้น เห็นว่า จำเลยไม่ได้ถามค้านพยานโจทก์เกี่ยวกับชื่อและชื่อสกุลของสายลับดังกล่าวไว้ก่อน ทั้งคำให้การในชั้นสอบสวนของนายอนุชัยระบุแต่เพียงว่าแต่ก่อนถูกจับกุมนางฝนโทรศัพท์ให้นายอนุชัยไปรับเท่านั้น ครั้นเมื่อเบิกความต่อศาลนายอนุชัยกลับอ้างว่า นางน้ำฝนโทรศัพท์แจ้งให้นายอนุชัยนำเมทแอมเฟตามีนไปส่ง นางสาวเบญจมาศพยานจำเลยก็มิได้เบิกความยืนยันว่าตนเองมีชื่อเล่นว่าฝนหรือน้ำฝน จนกระทั่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า หญิงที่โทรศัพท์ไปขอซื้อเมทแอมเฟตามีนจากนายอนุชัยชื่อนางน้ำฝน หาใช่นางสาวเบญจมาศไม่ จำเลยจึงนำรายงานประจำวันดังกล่าวมายื่นในภายหลังจากที่ยื่นฎีกาแล้วทำให้มีน้ำหนักน้อย ที่จำเลยฎีกาว่า บันทึกให้การตามเอกสารหมาย จ. 2 จ. 4 และ จ. 7 เป็นเอกสารไม่ชอบต้องห้ามรับฟังเป็นพยานหลักฐานนั้น ศาลฎีกาได้วินิจฉัยเชื่อว่าจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนโดยสมัครใจ และเพียงแต่นำคำรับสารภาพดังกล่าวมารับฟังประกอบกับพยานหลักฐานอื่นของโจทก์โดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีนี้เกิดเหตุก่อนที่จะมีการแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 84 จึงไม่ต้องห้ามที่จะรับฟังถ้อยคำรับสารภาพในชั้นจับกุมที่จำเลยฎีกาอีกประการหนึ่งว่า จำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า จำเลยและนายอนุชัยซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางมาจากนายน้อยที่บริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าคาร์ฟูพร้อมกับแจ้งตำหนิรูปพรรณของนายน้อยต่อพนักงานสอบสวนด้วย ถือได้ว่าให้ข้อมูลที่สำคัญอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ ซึ่งมีเหตุบรรเทาโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 100/2 นั้น ยังไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานตำรวจหรือพนักงานสอบสวนได้ใช้ข้อมูลดังกล่าวในการจับกุมนายน้อยผู้ที่จำเลยอ้างว่าจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยให้ข้อมูลที่สำคัญอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ พยานหลักฐานจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ลงโทษจำเลยจำคุก 8 ปี ก่อนลดโทษนั้น เห็นว่า หนักเกินไป ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดโทษเสียใหม่ให้เหมาะสม ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายให้ลงโทษจำคุก 6 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 4 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1
( สุทธิโชค เทพไตรรัตน์ - ชินวิทย์ จินดา แต้มแก้ว - นพพร โพธิรังสิยากร )
คำพิพากษาศาลฎีกาเหล่านี้ ThaiLawConsult นำมาจากระบบสืบค้นคำพิพากษาฎีกา วันที่ 7-12-2556

